ช่วงที่ผ่านมาการดื่มคลอโรฟิลล์ได้รับความนิยมค่อนข้างมาก เพราะด้วยคุณสมบัติที่กล่าวอ้างสรรพคุณของคลอโรฟิลล์ว่าส่งผลในทางดีต่อร่างกายเมื่อดื่มเข้าไป แต่ขณะเดียวกันการดื่มสารสกัดจากคลอโรฟิลล์ ก็ยังเป็นเรื่องที่หลายคนมีข้อเคลือบแคลงและสงสัยถึงประโยชน์และโทษ จากการดื่มว่า แท้จริงแล้วคลอโรฟิลล์ส่งผลอย่างไรต่อร่างกายของคนเราจริงๆ

รู้จักกับคลอโรฟิลล์

คลอโรฟิลล์เป็นสารประกอบที่สามารถพบได้ในส่วนที่มีสีเขียวของพืช เช่น ใบ นอกจากนี้ยังสามารถพบได้จากลำต้น ดอก หรือรากของพืชที่มีสีเขียว คลอโรฟิลล์เป็นรงควัตถุหรือสารสีที่เรียกว่า Pigment ที่มีอยู่ในพืช โดยให้สารสีเขียวที่อยู่ในคลอโรพลาสต์ (Chloroplast) มีความสำคตัญในกระบวนการสังเคราะห์แสงของพืช ซึ่งพืชจะสร้างเป็นน้ำตาลกลูโคส ซึ่งเป็นสารอาหารที่ให้พลังงานต่อเซลล์ของพืชต่อไป คลอโรฟิลล์สามารถพบได้ในผัก ผลไม้ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ หรือสาหร่าย คลอโรฟิลล์ไม่คงตัวต่อความร้อน เมื่อได้รับความร้อนจะเกิดการเปลี่ยนเป็นฟีโอไฟติน (Pheophytin) ทำให้สารสีเขียวเปลี่ยนเป็นน้ำตาล เพราะหน้าที่สำคัญของคลอโรฟิลล์จริงๆ คือ การเป็นสารสีเขียวที่ช่วยในกระบวนการสังเคราะห์แสงขอพืช ซึ่งจะเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้กลายเป็นก๊าซออกซิเจนให้กับพืช

 

คลอโรฟิลล์กับการสร้างเม็ดเลือดแดงในร่างกายของคน

มีงานวิจัยจากนักวิทยาศาสตร์ชื่อ ดร.ฮาน์ส ฟิชเชอร์ (Dr.Hanns Fisher, M.D.) เจ้าของรางวัลโนเบล ได้ทำการค้นคว้าถึงความสัมพันธ์ระหว่างคลอโรฟิลล์และฮีม (Heme) ซึ่งเป็นองค์ประกอบของโปรตีนฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) ในเม็ดเลือดแดงของมนุษย์ พบว่าโครงสร้างของคลอโรฟิลล์ที่อยู่ในพืชมีโครงสร้างเหมือนกับฮีม แตกต่างกันตรงแกนกลางของคลอโรฟิลล์จะเป็นธาตุแมกนีเซียม ส่วนโครงสร้างของเม็ดเลือดแดงในมนุษย์เป็นธาตุเหล็ก เพราะฉะนั้นการดื่มคลอโรฟิลล์ จึงไม่ได้ช่วยในเรื่องของการสร้างเม็ดเลือดแดงในร่างกายของมนุษย์ ถึงแม้จะมีโครงสร้างที่คล้ายกัน แต่ร่างกายไม่มีกระบวนการที่จะเปลี่ยนจากธาตุแมกนีเซียม ไปเป็นธาตุเหล็กได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่หลายคนเข้าใจผิดเป็นอย่างมาก ในด้านโภชนาการ แนะนำว่าโดยปกติการรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็ก โปรตีน และการพักผ่อนให้เพียงพอ จะช่วยในกระบวนการสร้างเม็ดเลือดแดงได้

 

ร่างกายดูดซึมคลอโรฟิลล์ไปใช้ประโยชน์ได้จริงหรือไม่

คลอโรฟิลล์จะมีประโยชน์ต่อพืช เมื่อพืชนำไปสังเคราะห์แสงแล้วก็จะได้พลังงาน แต่ไม่สามารถดูดซึมได้ในร่างกายมนุษย์ เพราะคลอโรฟิลล์นั้นเป็นสารที่มีโมเลกุลค่อนข้างใหญ่ และจะมีประสิทธิภาพเป็นสารต้านอนุมูลอิสระได้ก็ต่อเมื่อ อยู่ในสภาพไม่ละลายน้ำ (ละลายในไขมัน) หากนำเอาคลอโรฟิลล์มาละลายน้ำเพื่อดื่ม ร่างกายก็จะไม่ได้รับสารหรือประโยชน์ใดๆ จากการรับประทานคลอโรฟิลล์ นั่นหมายถึง ร่างกายจะได้รับประโยชน์จากสารสกัดอย่างอื่นที่อยู่ในนั้น มากกว่าที่จะได้รับประโยชน์จากคลอโรฟิลล์โดยตรง

 

คลอโรฟิลล์กับการดีท็อกซ์เพื่อผิวใส

การใช้คลอโรฟิลล์เพื่อดีท็อกซ์และล้างพิษ ช่วยให้ผิวใสนั้น ยังไม่มีรายงานการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่มีการสรุปในระดับที่น่าเชื่อถือได้ว่า คลอโรฟิลล์จะช่วยล้างพิษในร่างกาย ทำให้ผิวพรรณสดใส นอกจากนั้นคลอโรฟิลล์ไม่มีลักษณะเป็นกากใยอาหารที่จะช่วยในระบบขับถ่ายของร่างกายได้

 

คุณสมบัติของคลอโรฟิลล์กับการรักษาบาดแผลเรื้อรัง

ในด้านประโยชน์ของการรักษาบาดแผลเรื้อรัง คลอโรฟิลล์มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อ แต่จริงๆ แล้ว ประสิทธิภาพในส่วนนี้ค่อนข้างน้อย เพราะการรักษาบาดแผลที่แท้จริงแล้ว อยู่ที่การดูแลและทำความสะอาดบาดแผลนั้นให้ดี ประโยชน์จากคลอโรฟิลล์ในด้านนี้มีอยู่จริง หากแต่มีการนำไปโฆษณากล่าวอ้างจนเกิดจริง

 

คุณสมบัติของคลอโรฟิลล์กับการรักษาบาดแผลเรื้อรัง

ในด้านประโยชน์ของการรักษาบาดแผลเรื้อรัง คลอโรฟิลล์มีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียได้ แต่จริงๆ แล้ว ประสิทธิภาพในส่วนนี้ค่อนข้างน้อย เพราะการรักษาบาดแผลที่แท้จริงแล้ว อยู่ที่การดูแลและทำความสะอาดบาดแผลนั้นให้ดี ประโยชน์จากคลอโรฟิลล์ในด้านนี้มีอยู่จริง หากแต่มีการนำไปโฆษณากล่าวอ้างจนเกินจริง

 

ช่วงอายุกับการรับประทานคลอโรฟิลล์

มีข้อถกเถียงกันถึงเรื่องให้เด็กรับประทานคลอโรฟิลล์แล้วจะสุขภาพแข็งแรง แต่จริงๆ แล้ว การนำคลอโรฟิลล์มาให้เด็กแรกเกิดรับประทานอันตรายเป็นอย่างมาก และไม่ควรรับประทานเด็ดขาด เนื่องจากร่างกายของเด็กแรกเกิดจนถึง 4 ปีนั้น อวัยวะต่างๆ หรือระบบภายในร่างกายยังทำงานไม่สมบูรณ์ โดยเฉพาะไตที่ยังขับของเสียได้ไม่เต็มที่ หากรับประทานคลอโรฟิลล์เป็นอาหารเสริม อาจทำให้ไตของเด็กทำงานหนักมากเกินไปได้

คลอโรฟิลล์รับประทานเป็นอาหารเสริมได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว คลอโรฟิลล์ไม่ได้มีคุณประโยชน์ใดๆ ต่อร่างกาย อีกทั้งไม่ควรบริโภคเกินวันละ 450 มิลลิลิตร เพราะหากรับประทานมากกว่านั้น อาจส่งผลกระทบต่อร่างกายได้ เช่น เกิดอาการผดผื่นคัน อุจจาระร่าวง หรือลิ้นเปลี่ยนเป็นสีเหลือง หรือสีของปัสสาวะเปลี่ยนไป ส่งผลให้ไตทำงานหนักมากขึ้น เพื่อขับออก สุดท้ายอาจเกิดภาวะไตทำงานล้มเหลวได้

 

อาหารครบ 5 หมู่ ผักผลไม้สดได้ประโยชน์ต่อร่างกายที่มากกว่า

เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีข้อสรุปของหลักฐานการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ที่ชัดเจนในด้านคุณประโยชน์ของคลอโรฟิลล์ และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคลอโรฟิลล์มีราคาค่อนข้างสูง ซึ่งการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ตามปกติ แล้วเราก็จะได้คลอโรฟิลล์จากการรับประทานผัก โดยเฉพาะผักใบเขียวและผลไม้ ซึ่งเป็นคลอโรฟิลล์ที่ได้จากธรรมชาติอยู่แล้ว นอกจากนั้นยังได้รับวิตามิน รวมถึงแร่ธาตุและสารต้านอนุมูลอิสระ ที่จะช่วยเรื่องการชะลอวัยและผิวพรรณสดใสอีกด้วย นอกจากนี้เรายังได้กากใยอาหารที่ช่วยในเรื่องของระบบขับถ่าย ในขณะที่คลอโรฟิลล์ไม่มีกากใยอาหาร ดังนั้น ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายเป็นประจำ จะทำให้มีสุขภาพที่แข็งแรง ดังคำกล่าวที่ว่า “อโรคยา ปรมาลาภา” ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ

 

 

คุณทัชชกร บุษรารัตนโกเมน

นักกำหนดอาหาร

โรงพยาบาลไทยนครินทร์

ที่มา : health.haijai