เรื่องโดย : ศ.ดร.อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ที่มา : ศูนย์สื่อสารสังคม กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข

http://www.thaihealth.or.th/

 

ในปัจจุบันที่ความสัมพันธ์ทางสังคมเปราะบางมากขึ้น ชีวิตผู้คนถูกทำให้แยกห่างจากกัน จนไม่สามารถที่จะสื่อสารกัน  และสร้าง/มีสายใยสัมพันธ์กันอย่างแท้จริง  ความเปล่าเปลี่ยวในชีวิตจริงจึงถูกทดแทน ด้วยการสื่อสารในโลกโซเชียล

แต่ในอีกด้านหนึ่งการสื่อสารใน โลกโซเชียลถูกทำให้เป็นการแสดงความเป็น "ส่วนตัว/ตัวตน" ที่อยากจะให้ คนอื่นรับรู้ และ "ชื่นชม" จึงทำให้การ นำเสนอสาระเป็นเพียงการตัดส่วนเสี้ยวของชีวิตมาขยายให้กลายเป็นภาพที่อยากให้คนอื่นเห็น

การนำเสนอลักษณะนี้ ก็คือการทำให้ตนเองหมกมุ่นอยู่กับความรู้สึกของความต้องการแสดงตน หากไม่ได้รับการตอบสนองว่าได้รับรู้และ "ชื่นชม"  ก็จะรู้สึกกระทบลงลึกถึงความเป็นตัวตน (โปรแกรม line ใหม่ที่แสดงให้เห็นว่า  อ่านแล้วจึงก่อปัญหาทางอารมณ์ของผู้ส่งความ ว่าอ่านแล้วทำไมจึงไม่ยอมตอบ) แม้ว่าคนกลุ่มใหญ่จะเลือกใช้โลก โซเชียลในการติดตามคนอื่นโดยที่ไม่แสดงตัวตน แต่การติดตามก็คือการมองไปที่คนอื่นด้วยสายตาของเราที่วางอยู่บนฐานอารมณ์ความรู้สึกของเรา ซึ่งเมื่อรับรู้ส่วนที่ถูกตัดมาเสนอ/แสดงซึ่งก็จะเป็นส่วนที่ "งดงาม" "ร่ำรวย" "ยอดเยี่ยม" เราก็รับรู้และนำมาเปรียบเทียบกับชีวิตทั้งหมดจริงๆ ของเราทันที

ในโลกโซเชียล อารมณ์ความรู้สึกของเราจึงถูกทำให้เหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงรวดเร็วมากขึ้นมาก เมื่อประมาณ พ.ศ. 2538 ผมเคยวิเคราะห์ระบบอารมณ์ของผู้คนที่เปลี่ยนแปรเร็วขึ้น เพราะการดูโทรทัศน์ใช้รีโมตที่การเปลี่ยนช่องโทรทัศน์เกิดขึ้นพร้อมกับการเปลี่ยนความรู้สึกตลกมาสู่ความรู้สึกหวานในอก หรือความกลัวในเวลาเดี๋ยวเดียว แต่ในวันนี้โลกโซเชียลทำให้อารมณ์ของเราวิ่งขึ้นวิ่งลงทุกลักษณะอย่างรวดเร็วมากกว่าเดิมหลายร้อยหลายพันเท่า ที่สำคัญอารมณ์ของเราที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในวันนี้ เป็นอารมณ์ที่วางอยู่บนฐานการคิด/การมอง เน้นที่ตัวตน ของเรา ไม่ใช่อารมณ์ที่เกิดจากการมอง การแสดงในโทรทัศน์แบบเดิม จึงก่อให้เกิด ความไม่เสถียรของอารมณ์มากขึ้น จนกล่าว ได้ว่าความไร้เสถียรภาพเป็นลักษณะอารมณ์คนในยุคปัจจุบัน

โรคซึมเศร้ามีฐานการอธิบายว่า เกิดขึ้นจากความรู้สึกที่มีต่อตนเองว่า  ตนไม่มีค่าไม่มีความหมายใดๆ ต่อใคร รวมไปถึงความรู้สึกที่พบว่าตนเองไม่ได้เป็นอย่างที่ฝันหรือหวังเอาไว้ ความรู้สึกหดหู่จะครอบครองทั้งหมดของวิถี ความรู้สึก และส่งผลต่อเนื่องไปสู่การ สูญเสียความหมายของการมีชีวิตอยู่

ในสังคมเศรษฐกิจทุนนิยม ความรู้สึก ถึงความไร้ค่าของตัวตนเป็นเรื่องที่ต้อง เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ความรู้สึก ไร้ค่านี้กลับจะแรงมากขึ้น เมื่อคนได้พยายามหาทางทำให้ตนรู้สึกมีค่าด้วยการ แสดงตนในโลกโซเชียล เพราะโลกเสมือนจริงนี้กลับเป็นตัวการที่ทำให้ ความรู้สึกว่า "มีค่า" กับ "ไร้ค่า" วิ่งขึ้นลง อย่างรวดเร็วจนเราไม่สามารถที่จะควบคุมอารมณ์ให้มีเสถียรภาพได้เลย และเมื่อควบคุมอารมณ์ความรู้สึกได้ น้อยลง ความหมายของความเป็นเรา/ตัวตน เราก็ยิ่งถูกทำลายไปเรื่อยๆ

โรคซึมเศร้าจึงเป็นสภาวะของการบ่อนทำลายความหมายของ "ชีวิตและตัวตน" คนจำนวนหนึ่งที่หันไปสู่ศาสนาและลัทธิพิธีก็เพราะต้องการหนีจากการถูกทำลายลักษณะนี้ เพื่อที่จะไปมี "ชีวิตและตัวตน" ใหม่ในวิถีแห่งความเชื่อ การเข้าสู่โลกโซเชียลส่งผลต่อความรู้สึกของเราอย่างรุนแรง ลองนึกถึงความรู้สึกเปรียบเทียบภาพแสดงของเพื่อน ที่ได้เสพสุขที่เมืองนอกทุกครั้งที่มีวันหยุด  กับเราที่ต้องนั่งทำงานเสมียนด้วยเงินเดือนน้อยนิด หรือการเปรียบเทียบอื่นๆ ที่เกิดขึ้น ในสมองและความรู้สึกของเรา แม้ว่าภาพแสดงนั้นไม่ได้แสดงการเปรียบเทียบแต่อย่างใด

การเลือกที่จะอยู่ในโลกโซเชียล อย่างไม่ระมัดระวัง ความรู้สึกตัวเอง และ ไม่ตระหนักถึงพลังการเหวี่ยงของอารมณ์ ยิ่งก่อให้เกิดสภาวะซึมเศร้าได้ง่ายขึ้นและลึกซึ้งมากขึ้น เพราะเมื่อเราถูกทำให้หมกมุ่นอยู่กับตนเองและไม่สามารถควบคุมอารมณ์ที่ให้ความหมายแก่ตัวเรา ตัวตนของเรา ก็ไม่มีทางที่จะเสถียรพอที่จะดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างมีความหมาย

ความพยายามที่จะมี "ตัวตน" ในโลกโซเชียลอย่างไม่ระวังและไม่ตระหนัก  จึงผลักดันให้คนจำนวนไม่น้อยกลายเป็น กลุ่มคนที่เสนอตัวแสดงความคิดเห็นบนการใส่ความรู้สึกไปทั่วทุกเรื่อง ไม่ว่าเรื่องอะไร (ไม่ว่ารู้หรือไม่รู้ ก็ขอเสนอความเห็นไว้ก่อน วัยรุ่นใช้คำว่า "เผือก")

ในเงื่อนไขทางสังคมทุกวันนี้ คงไม่สามารถที่จะหยุดการอยู่ใน "โลกโซเชียล" ได้ แต่ก็ต้องเตือนกันว่า จำเป็นต้องตระหนักและระมัดระวัง "อารมณ์" ของเราให้ดีครับ 'การเลือกที่จะ อยู่ในโลกโซเชียล อย่างไม่ระมัดระวัง ความรู้สึกตัวเอง และไม่ตระหนักถึง พลังการเหวี่ยง ของอารมณ์ ยิ่งก่อให้เกิดสภาวะ ซึมเศร้าได้ง่ายขึ้น และลึกซึ้งมากขึ้น'