คนเราเมื่อตัวเลขของอายุสูงขึ้น ระบบการทำงานต่างๆ ของร่างกายก็จะไม่สามารถสร้างหรือดูแลได้เต็มที่เหมือนเมื่อครั้งวัยเยาว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารอาหารจำเป็นสำหรับผิวอย่างคอลลาเจน ซึ่งในวัยเด็กร่างกายเรามีการสร้างคอลลาเจนได้เอง แต่เมื่ออายุมากขึ้น การสร้างคอลลาเจนก็มักจะค่อยๆ ลดลงไปตามวัย ซึ่งจริงๆ แล้ว ผิวหนังเรามีหน้าที่สำคัญในการห่อหุ้มร่างกาย ถ้าเรามีผิวพรรณที่สดใสไม่เหี่ยวย่น ไม่แก่ก่อนวัยอันควร ก็เป็นการช่วยสร้างเสริมบุคลิกและความมั่นใจในการอวดผิวสวย เปล่งปลั่ง แลดูอ่อนเยาว์ให้กับเราได้

 

 

คอลลาเจน คือ โปรตีนชนิดหนึ่ง ที่มีอยู่ในร่างกายเราตามธรรมชาติ ประกอบไปด้วยสาระสำคัญ 2 ชนิด

 

คือ Proteoglycan และ Glycosaminoglycans ซึ่งเป็นโปรตีนที่เป็นโครงสร้างหลักของผิว เส้นผม เล็บ กระดูก ข้อต่อ ตลอดจนผนังหลอดเลือด ทำหน้าที่เป็นตัวประสานเนื้อเยื่อของผิวหนัง และเชื่อมต่ออวัยวะทุกส่วนของร่างกายไว้ด้วยกัน

 

 

โดยปกติทั่วไปผิวหนัง จะมีคอลลาเจนเป็นโครงสร้างอยู่มาก จึงมีแรงสปริงและยืดหยุ่นดีตามไปด้วย ซึ่งคอลลาเจนไม่ได้มีอยู่แต่ที่ผิวหนังส่วนนอกเท่านั้น แต่อวัยวะภายในร่างกายก็มีคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบอยู่มากด้วยเช่นกัน ได้แก่ พังผืด (Fascia), กระดูกอ่อน, เอ็น, เอ็นกล้ามเนื้อและกระดูก ซึ่งคอลลาเจนที่เป็ส่วนประกอบหลักของชั้นผิวมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า เคราติน โดยเคราตินมีหน้าที่สร้างความแข็งแรงและความยืดหยุ่น เมื่อสารเคราตินในชั้นผิวลดลง จึงเกิดริ้วรอยบนชั้นผิว ขาดความชุ่มชื้น

 

 

ปัจจัยที่ทำให้คอลลาเจนเสื่อมสลาย

 

1.การเกิดอนุมูลอิสระ อันเนื่องมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตทำร้ายผิว เช่น การสูบบุหรี่

 

 

2.แสงแดด

 

 

3.การได้รับมลพิษต่างๆ รอบตัว

 

 

4.อายุที่เพิ่มมากขึ้น

 

 

5.สารปนเปื้อนที่อยู่ในอาหาร

 

 

6.การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

 

 

ช่วงอายุที่เริ่มสูญเสียคอลลาเจน

 

• อายุ 25-30 ปี ผิวจะเริ่มเป็นริ้วรอยบางๆ ทอดยาวบริเวณหน้าผาก หรือมีริ้วรอยบางๆ ที่ร่องแก้มบริเวณข้างจมูก จนถึงเหนือริมฝีปาก ผิวที่เริ่มบางลงจะทำให้ความสามารถในการปกป้องผิวจากรังสียูวีลดลง คอลลาเจนและความยืดหยุ่นของผิวก็จะเริ่มลดลงเช่นกัน

 

 

• อายุ 30-39 ปี ในวัยนี้เกราะป้องกันผิวจะยิ่งบอบบาง และอ่อนแอลง กระบวนการทำงานของเซลล์ผิวช้าลง ผิวจะมีลักษณะแห้งง่าย ขาดความชุ่มชื้น

 

 

• อายุ 40-49 ปี เกิดรอยย่นบริเวณหน้าผาก ระหว่างคิ้วใต้ขอบตาล่าง และหางตาเห็นชัดเจนมากขึ้น รอยย่นข้างแก้ม และร่องแก้มลึกทอดยาวไปจนจรดมุมปาก จุดเชื่อมต่อระหว่างชั้นหนังกำพร้า และชั้นหนังแท้เริ่มบางสูญเสียความหนาแน่น เริ่มมีจุดเล็กๆ สีน้ำตาลเกิดขึ้น เรียกว่าเป็นวัยเริ่มตกกระ

 

 

• อายุ 50-64 ปี การพัฒนาของเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงผิวในชั้นหนังแท้ลดลง จะมีรอยย่นตามร่องแก้มทอดยาวไปจนถึงบริเวณใต้มุมปากลึกมากขึ้น

 

 

• อายุ 65 ปี ขึ้นไปผิวหนังหยาบกร้าน มีริ้วรอยทั่วใบหน้า และผิวหนังทั่วร่างกาย ริมฝีปากเริ่มบางและมีรอยย่นบริเวณเหนือริมฝีปาก

 

 

การเติมคอลลาเจนให้ผิว

 

วิธีการที่จะนำสารสกัดโปรตีนคอลลาเจนเข้าสูร่างกายทำได้ 2 วิธี คือ

 

1.การรับประทาน ซึ่งวิธีรับประทานเป็นวิธีที่สะดวก

 

 

2.การฉีดเข้าใต้ผิวหนังชั้นหนังแท้ เพราะคอลลาเจนเป็นโปรตีนที่มีโครงสร้างที่มีโมเลกุลใหญ่ จึงไม่สามารถซึมผ่านผิวหนังได้ด้วยการทา ซึ่งครีมต่างๆ ที่มีขายตามท้องตลาดที่มีส่วนผสมของคอลลาเจน จะเป็นการเติมคอลลาเจนให้อยู่บริเวณชั้นผิวหนังกำพร้าเท่านั้น และเนื่องจากคอลลาเจนมีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำได้ประมาณ 30 เท่าของน้ำหนักตัว เมื่อทาลงไปบนผิวจะทำให้ผิวหนังกำพร้ามีความชุ่มชื้นขึ้น แต่ก็ไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาริ้วรอยได้อย่างแท้จริง เพราะการเสริมสร้างคอลลาเจนนั้น จะต้องเข้าสู่ผิวหนังได้ด้วยการรับประทานและการฉีดเข้าใต้ผิวหนังเท่านั้น

 

 

ประโยชน์ของคอลลาเจนที่ได้จากการรับประทาน

 

1.ช่วยให้ผิวมีสุขภาพที่แข็งแรง มีความยืดหยุ่น และลดริ้วรอย

 

 

2.ผิวพรรณกระชับ เนียนใส เปล่งปลั่ง

 

 

3.เผาผลาญไขมัน เสริมสร้างกล้ามเนื้อ

 

 

4.เพิ่มประสิทธิภาพในการนอนหลับ

 

 

5.ช่วยบำรุงข้อต่อ และกระดูก

 

 

6.ช่วยบำรุงให้เหงือกและฟันแข็งแรง

 

 

7.ช่วยบำรุงเส้นผมและหนังศีรษะ รวมถึงเล็บ

 

 

สำหรับผู้ที่ควรเริ่มรับประทานคอลลาเจน อาจอยู่ในช่วงวัยตั้งแต่อายุ 25 ปีขึ้นไป ที่ผิวเริ่มต้องการเสริมด้วยคอลลาเจน ซึ่งคอลลาเจนที่ดีในการรับประทาน ส่วนใหญ่สกัดมาจากปลาทะเลน้ำลึก เพราะร่งกายสามารถดูดซึมและนำไปใช้ได้ดี

 

 

ซึ่งจริงๆ แล้ว อาหารที่เรารับประทานกันอยู่ทุกวันนี้ ถือเป็นแหล่งคอลลาเจนชั้นดีให้กับผิว โดยอาหารที่มีส่วนประกอบของคอลลาเจนอยู่เป็นจำนวนมาก และหารับประทานได้ง่าย คือ อาหารที่เป็น เนื้อหมู เนื้อไก่ โดยคอลลาเจน จะซ่อนตัวอยู่ในโปรตีนของเนื้อสัตว์เหล่านี้ อีกทั้งในอาหารประเภทกระดูกอ่อน ทั้งในกระดูกอ่อนของหมู และไก่ ซึ่งสามารถเลือกนำไปปรุงเป็นอาหารประเภท ต้มซุปไก่ ต้มแซ่บกระดูกอ่อนหมู ซึ่งจะเห็นได้ว่าหากเราตั้งทิ้งไว้จนเย็น ก็จะเห็นน้ำซุปคล้ายๆ กับวุ้น สิ่งนั้นเองคือ “คอลลาเจน” ที่เราได้รับประทานเข้าไป แต่ทว่าก็อาจจะปนอยู่กับไขมันที่ลอยอยู่ด้านบนของน้ำแกงเหล่านั้นด้วย ถ้าไม่อยากอ้วนก็อาจช้อนมันที่ลอยอยู่ออกไปบ้าง ก่อนรับประทานก็ได้

 

 

นอกจากคอลลาเจนที่พบได้ในเนื้อสัตว์ ตามที่กล่าวมาแล้ว ยังสามารถพบคอลลาเจนได้จากปลาทะเลน้ำลึก ปลาทู ปลากระเบน หรือในผักและผลไม้ เช่น ถั่วเหลือง สาหร่ายทะเล เห็ด แตงกวา ขึ้นฉ่าย ส้มโอ แก้วมังกร แอปเปิ้ล เพียงแต่คอลลาเจนที่ได้จากผักและผลไม้ อาจน้อยกว่าคอลลาเจนที่ได้จากเนื้อสัตว์นั่นเอง

 

 

แต่รู้หรือไม่ว่า การรับประทานคอลลาเจน ไม่ได้จำกัดแต่เพียงเฉพาะแต่ผู้หญิงเท่านั้น ผู้ชายก็สามารถรับประทานคอลลาเจนได้เช่นกัน เนื่องจากว่ากิจกรรมของผู้ชายหลายๆ คน ที่มีการสังสรรค์ หรือการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ รวมไปถึงการสูบบุหรี่ รวมถึงการทำงานที่ต้องอยู่ภายใต้แสงแดดจัดๆ ซึ่งเป็นตัวการในการทำร้ายผิว การเลือกรับประทานคอลลาเจนเสริม ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยบำรุงร่างกายและดูแลสุขภาพผิวให้มีสุขภาพดีไปด้วยพร้อมกัน