ดูเหมือนว่าอากาศหนาวๆ จะอยู่กับเราไม่ได้นานเสียแล้ว และในช่วงสองสามวันมานี้ เพื่อนๆ อาจจะรู้สึกได้ถึงอากาศที่อบอ้าวขึ้นเล็กน้อย อีกไม่นานเราก็จะก้าวเข้าสู่ช่วงซัมเมอร์กันอย่างเต็มตัว สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอนเลยก็คือแสงแดดอันเจิดจ้าที่จะทำให้ผิวของเราสูญเสียความชุ่มชื้น ทั้งยังตามมาด้วยความเหนียวเหนอะหนะที่ผิวจากปริมาณเหงื่อที่ออกมามากกว่าปกติ วันนี้จึงนำรายการผักและผลไม้ทั้ง 11 ชนิดที่จะช่วยเติมน้ำให้ผิวของเราคงความชุ่มชื้นน่าสัมผัสอยู่ตลอดเวลา มาฝากเพื่อนๆ กันเช่นเคยค่ะ

    1. แตงกวา

    มาเริ่มที่อันดับ 1 กับแตงกวา พืชผักที่ขึ้นชื่อว่ามีน้ำเป็นส่วนประกอบมากที่สุด ไม่ว่าจะเอาไปใส่ในจานสลัด ผัดกับเนื้อสัตว์ หรือกินแบบสดๆ ก็ลงตัวและอร่อยไม่แพ้กันเลยทีเดียวค่ะ หากเพื่อนๆรู้สึกว่าผิวพรรณเริ่มขาดความชุ่มชื้น แตงกวาจะช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือจะลองนำแตงกวาไปปั่นคู่กับโยเกิร์ตไขมันต่ำ สะระแหน่ และน้ำแข็งสัก 2-3 ก่อนเพื่อทำเป็นซุปแตงกวาก็เป็นไอเดียที่เลิศแน่นอน ดับกระหายและเติมความชุ่มชื้นได้ดี

    2. ผักกาดแก้ว

    เพื่อนๆ ที่ชอบรับประทานสลัดคงต้องรู้สึกผักกาดแก้วกันแน่นอน ในผักกาดแก้วมีน้ำเป็นส่วนประกอบมากถึง 95% พร้อมกับไฟเบอร์ โฟเลต และวิตามิน K นอกจากสลัดแล้ว ผักกาดแก้วยังเหมาะสำหรับนำมารับประทานในแซนด์วิช หรือแฮมเบอร์เกอร์อีกด้วยนะคะ

    3. ขึ้นฉ่าย

    ถึงแม้ว่ากลิ่นของขึ้นฉ่าย หรือ Celery จะไม่เป็นที่พึงประสงค์ แต่ปริมาณน้ำที่อยู่ในขึ้นฉ่ายมากถึง 95% นั้นก็สามารถมาทดแทนกันได้ มีแคลอรี่ต่ำเพียง 6 กิโลแคลอรี่ต่อ 1 ต้น อีกทั้งยังอุดมไปด้วยไฟเบอร์ วิตามิน A, C, K และโฟเลต

    4. หัวไชเท้า

    หัวไชเท้า วัตถุดิบเด็ดสำหรับซุปหรือต้มจืดร้อนๆ แต่สำหรับหัวไชเท้าแดงที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบ 95% หากนำมาฝานบางๆ และทานเป็นสลัดก็จะช่วยเติมน้ำให้กับผิวพรรณได้เป็นอย่างดี อีกทั้งหัวไชเท้าแดงยังมาพร้อมกับสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยบำรุงสุขภาพของเราไปพร้อมๆ กัน

    5. มะเขือเทศ

    มะเขือเทศคือผักอีกชนิดที่ได้รับความนิยมไม่น้อยหน้าผักชนิดอื่นๆ ทั้งเครื่องเคียงในสลัด หรือแซนด์วิช อีกทั้งยังเป็นวัตถุดิบหลักในการทำซอสมะเขือเทศ นอกจากจะมีวิตามินซีสูงแล้ว มะเขือเทศยังมีน้ำเป็นส่วนประกอบมากถึง 94.5% ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเป็นของว่างฉ่ำๆ ในช่วงซัมเมอร์ ด้วยการ mix and match กับถั่วอบแห้ง หรือ mozzarella cheese ชนิดโซเดียมต่ำ ก็จะได้ของว่างเพื่อสุขภาพที่มีรสชาติแปลกใหม่ ไม่จำเจ

    6. พริกหวาน

    Bell peppers หรือพริกหวาน ไม่น่าเชื่อเลยใช่ไหมว่า ทั้งรูปลักษณ์และลักษณะที่ดูแข็งและแห้งของเจ้าพริกหวานหลากสีสันจะมีน้ำเป็นส่วนประกอบในปริมาณที่มากเลยทีเดียว อีกทั้งยังสามารถนำมาประกอบอาหารและของว่างได้หลากหลายสไตล์ ขอกระซิบหน่อยว่าพริกหวานสีเขียว นอกจากจะอุดมไปด้วยน้ำแล้วยังมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระมากกว่าสีอื่นๆ อีกด้วย

    7. กะหล่ำดอก

    เห็นสีขาวๆ ซีดๆ แบบนี้ แต่ต้นกะหล่ำดอกกลับมีน้ำเป็นส่วนประกอบมากถึง 92% เลยทีเดียว อีกทั้งในส่วนของดอกยังอุดมไปด้วยวิตามินนานาชนิด และสารไฟโตนิวเทรียนท์ (สารพฤกษเคมี) ซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันโรคต่างๆ ได้มากมาย เช่น ช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลในโคลน และป้องกันโรคมะเร็ง เป็นต้น หากเพื่อนๆ ชอบรับประทานสลัด หรือผักเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ลองหั่นกะหล่ำดอกเป็นชิ้นเล็กๆ และใส่ในจานสลัดเพื่อเพิ่มรสชาติ และความกรุบกรอบ

    8. แตงโม

    หากแตงโมไม่ติดอันดับก็คงจะดูแปลกๆ ไปสักหน่อยใช่ไหมคะ เพราะเรียกได้ว่าแตงโมก็เป็นผลไม้ดับร้อนยอดนิยมในช่วงซัมเมอร์เลยทีเดียว ด้วยรสชาติหวานกรอบและความชุ่มฉ่ำที่ทำให้แตงโมเป็นผลไม้สุดโปรดของใครหลายๆ คน นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งของไลโคปีน หรือสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์ช่วยกำจัดมะเร็งอีกด้วย เพื่อนๆ รู้ไหมคะว่า ในแตงโมมีไลโคปีนมากกว่ามะเขือเทศถึง 3 เท่าเลยทีเดียว ฉะนั้นหากคิดไม่ออกว่าจะทานผลไม้อะไรดี ลองนึกถึงแตงโมกันดูนะคะ

    9. ผักโขม

    เมื่อพูดถึงผักที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์ ก็คงจะขาดผักโขมไปไม่ได้เลยทีเดียวด้วยสารอาหารหลากชนิด ทั้งลูทีน โพแทสเซียม ไฟเบอร์ โฟเลต และวิตามิน E ที่จะช่วยบำรุงร่างกายให้ต่อสู้กับสารอนุมูลอิสระได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมีส่วนประกอบเป็นน้ำมากถึง 91% ซึ่งจะช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับร่างกายได้เป็นอย่างดี เพื่อนๆ สามารถรับประทานผักโขมแบบสดๆ หรือจะใส่ในแซนด์วิช และสลัดก็ได้เช่นเดียวกันค่ะ

    10. มะเฟือง

     มะเฟืองอาจไม่ได้ถูกพูดถึงหรือนำมายกตัวอย่างบ่อยเท่าผลไม้ชนิดอื่นๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเจ้าผลไม้รูปดาวห้าแฉกนี้มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก รสชาติหวานอมเปรี้ยวกำลังดี อีกทั้งยังมีเนื้อสัมผัสที่ชุ่มฉ่ำ เหมาะแก่การดับร้อนเป็นอย่างยิ่ง และนอกจากจะช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับร่างกายแล้ว เพื่อนๆ ยังจะได้รับสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ไม่น้อยในมะเฟือง และเป็นการบำรุงผิวพรรณไปพร้อมๆ กัน แต่สำหรับผู้ป่วยโรคไตควรหลีกเลี่ยงมะเฟืองนะคะ เนื่องจาก oxalic acid ในมะเฟืองอาจเป็นอันตรายได้

     มีให้เลือกรับประทานกันไม่หวาดไม่ไหวเลยทีเดียวใช่ไหมคะ หวังว่าจะถูกใจคุณผู้อ่าน และอย่าลืมมาบำรุงผิวของเราให้เนียนนุ่มน่าสัมผัสอยู่ตลอดเวลากันนะคะ

 

Source: www.health.com