จะแน่ใจได้อย่างไรว่าการแปรงฟันของเราในทุกๆ วันนั้นสะอาดจริง เพราะการแปรงฟันถือเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราทุกคน แปรงกันตามความเคยชิน จนวิธีและลักษณะการแปรงฟันกลายเป็นนิสัยไปแล้ว กว่าจะรู้ตัวว่าการแปรงฟันที่ทำอยู่ทุกวัน เป็นการแปรงที่ผิดวิธีก็ต่อเมื่อเกิดฟันผุ หรือคราบจุลินทรีย์เกาะสะสมจนกลายเป็นคราบหินปูนเกาะแน่นไปแล้ว

 

 

พฤติกรรมการแปรงฟันผิดวิธีที่ควรรู้

 

1.การแปรงฟันแรงเกินไป การแปรงฟันแรงๆ ไม่ได้หมายถึงจะทำให้ฟันสะอาดขึ้น แต่กลับจะเป็นการทำร้ายผิวเคลือบฟันทำให้ฟันสึก และทำให้เหงือกร่นได้

 

 

2.การแปรงฟันผิดวิธี คนส่วนใหญ่อาจเข้าใจผิด เวลาแปรงฟันโดยมาก มักจะวางแปรงสีฟันในแนวนอน ซึ่งวิธีนี้ไม่สามารถทำความสะอาดพันได้ ฟันล่างควรวางแปรงในลักษณะชี้ลง 45 องศากับขอบเหงือก จากนั้นขยับเบาๆ และปัดขึ้น ฟันบนก็เช่นกัน วางแปรงในลักษณะชี้ขึ้น 45 องศา กับขอบเหงือก จากนั้นขยับเบาๆ และปัดลง ถ้าเราวางแปรงในลักษณะแนวนอนอย่างเดียว ขนแปรงจะไม่สามารถสลัดคราบจุลินทรีย์และเศษอาหารที่ติดอยู่ตามเหงือกและซอกฟันออกมาได้หมด อีกทั้งจะได้แค่การทำความสะอาดตรงพื้นผิวฟันบริเวณที่แปรงเท่านั้น

 

 

เพราะจุดประสงค์ของการแปรงฟันที่แท้จริงนั้น นอกจากเป็นการเอาคราบที่ติดบนผิวฟันออกแล้ว ยังเป็นการแปรงเพื่อเอาคราบที่สะสมอยู่บนผิวเหงือกออกด้วย

 

 

3.แปรงฟันเร็วเกินไป ผลคือ การแปรงฟันจะเอาออกได้เฉพาะเศษอาหารที่ผิวฟันเท่านั้น แต่ไม่ได้กำจัดคราบแบคทีเรียบนขอบเหงือก หรือช่วงรอยต่อของเหงือกกับฟันออกได้เลย

 

 

4.ใช้แปรงสีฟันขนาดใหญ่ หรือเล็กเกินไป ถ้าแปรงใหญ่เกินไป ในขณะที่บางคนช่องปากเล็ก แปรงก็จะไม่สามารถเข้าไปทำความสะอาดฟันซี่ในสุดได้ มีโอกาสเกิดฟันผุได้ และถ้าเป็นแปรงสีฟันที่มีขนาดเล็กเกินไป ขนของแปรงอาจไม่ครอบคลุมทำความสะอาดได้ไม่ทั่วถึง

 

 

5.ไม่ควรแปรงฟันทันที หลังรับประทานอาหารที่มีรสเปรี้ยว เช่น ผลไม้ดอง มะม่วงเปรี้ยว สัปปะรด ฯลฯ เพราะอาหารที่มีรสเปรี้ยวจะมีกรดที่ทำลายสารเคลือบผิวฟันได้ การแปรงฟันทันทีมีโอกาสทำให้ผิวเคลือบฟันบางเร็วขึ้น รวมไปถึงหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสหวานๆ เพราะหากทำความสะอาดฟันไม่ดีพอ จะทำให้ฟันผุได้

 

 

วิธีการแปรงฟันที่ถูกต้อง

 

1.ควรแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 2-3 นาที

 

 

2.แปรงฟันให้ถูกวิธี และแปรงให้ทั่วถึงทุกตำแหน่งของซี่ฟัน ดังนี้

 

• วางขนแปรงให้เอียงทำมุมประมาณ 45 องศากับเหงือก

 

 

• ฟันบนให้ปัดลงล่าง ฟันล่างให้ปัดขึ้นบน

 

 

• แปรงฟันให้ครบทุกด้านของฟัน ทั้งด้านหน้า ด้านใน และ ด้านบดเคี้ยว

 

 

• สิ่งจำเป็นอีกอย่างหนึ่ง คือ การแปรงลิ้น โดยการถูเบาๆ ที่บริเวณลิ้น ลดการสะสมของแบคทีเรียที่บริเวณลิ้น ช่วยให้ลดกลิ่นปากได้ดี

 

 

วิธีเลือกแปรงสีฟัน

 

ขนาดของแปรงสีฟันก็มีผลต่อฟันเช่นกัน การใช้แปรงสีฟันที่มีขนนิ่ม จะทำให้มีการสปริงตัวของขนแปรงที่ดี และไม่ควรใช้แปรงที่มีขนแปรงแข็งมาก เพราะเนื่องจากขนแปรงเป็นส่วนที่ต้องสัมผัสกับฟันและเหงือกของเราโดยตรง การเลือกใช้แปรงสีฟันที่มีขนแปรงแข็งมีโอกาสทำให้เหงือกกร่นได้ ที่สำคัญทำให้ฟันสึกเร็ว

 

 

ดังนั้น การเลือกแปรงสีฟันที่มีขนาดพอดี จะช่วยให้การแปรงฟันสามารถเข้าถึงทุกซอกทุกมุมของฟันได้ง่ายขึ้น อีกทั้งความยาวของขนแปรง ควรครอบคลุมตัวฟันได้ประมาณ 1-1.5 เท่าของซี่ฟัน และควรเปลี่ยนแปรงสีฟันทุกๆ 3 เดือน หรือเมื่อสังเกตว่าขนแปรงเริ่มบานแล้ว การเลือกยาสีฟันก็เช่นกัน ควรเลือกใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ เพราะจะช่วยลดภาวะความเป็นกรดในช่องปากและช่วยป้องกันฟันผุ

 

 

ฟันผุก่อโรคร้าย

 

การปล่อยให้ฟันผุโดยไม่รีบทำการรักษา ปัญหาที่ตามมา อาจไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เท่าขนาดซี่ฟันแน่นอน หากมีฟันผุเกิดขึ้น จะส่งผลต่อฟันตามลำดับดังนี้

 

1.เริ่มต้นจากอาการเสียวฟัน เมื่อรับประทานอาหารที่เย็นจัด ร้อนจัด และหวานจัด

 

 

2.หากปล่อยไว้ไม่รักษาอาการที่ตามมาคือ ปวดฟัน ในกรณีนี้จะเริ่มมีการอักเสบของเส้นประสาทในโพรงรากฟัน

 

 

3.และถ้าหากปล่อยฟันผุไว้นานๆ จะทำให้เกิดหนองที่ปลายรากฟัน จนทำลายกระดูกรอบปลายรากฟัน

 

 

4.สุดท้ายอาจพบโรคปริทันต์อักเสบ หรือโรครำมะนาด ร่วมด้วยในภายหลัง

 

 

ดังนั้นสิ่งสำคัญคือ การมาพบทันตแพทย์ เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากทุกๆ 6 เดือน และควรแปรงฟันเป็นประจำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ร่วมกับการใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำทุกคืนก่อนนอน และถ้าเริ่มมีอาการผิดปกติในช่องปาก ควรรีบมาพบทันตแพทย์ เพื่อสุขอนามัยที่ดีในช่องปากของทุกคน

 

 

ทพญ.วราทิพย์ พิริยะวรสกุล

ทันตกรรมรักษารากฟัน

โรงพยาบาลวิภาวดี