เลือดกำเดาไหลเกิดจากอะไร ? หากใครยังหาสาเหตุที่เลือดไหลออกจากจมูกไม่เจอ อย่าได้ทำเฉยเชียวนะคะ เพราะอาการเลือดกำเดาไหลโดยไม่มีสาเหตุ แท้จริงแล้วเลือดกำเดาที่ไหลอาจบอกภาวะของโรคหรือความผิดปกติของร่างกายอยู่ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นมาดูกัน ว่าจริง ๆ แล้วเลือดกำเดาไหลเกิดจากอะไรได้บ้าง
    
 1. ไข้หวัด อาการแพ้ หรืออาการอักเสบต่าง ๆ

          อาการดังกล่าวอาจเกิดจากเส้นเลือดฝอยในจมูกที่แตก ด้วยการสั่งน้ำมูกที่รุนแรง หรืออาการอักเสบต่าง ๆ ซึ่งเมื่อรักษาอาการเจ็บป่วยต้นเหตุให้หายสนิทแล้ว เลือดกำเดาก็จะไม่ไหลอีก

 2. ปัญหาสุขภาพ

          American Heart Association เผยว่า หากอาการเลือดกำเดาไหลของคุณมาพร้อมกับอาการปวดหัว หนักหัวเป็นอย่างมาก หายใจถี่ สั้น และมีอาการใจสั่น อาจบ่งชี้ภาวะโรคหัวใจ โรคตับ โรคไต โรคพิษสุราเรื้อรัง หรือโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินเลือดอื่น ๆ เช่น โรคความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจได้ เพราะภาวะของโรคเหล่านี้อาจทำให้เกิดความดันเลือดที่สูงเกินกว่าปกติ จนเลือดต้องไหลออกมาทางจมูกเพื่อลดความดันเหล่านั้นลง ซึ่งอาการเลือดกำเดาไหลแบบนี้ไม่น่าไว้วางใจเป็นอย่างยิ่งนะคะ เพราะหมายถึงอาการของโรคที่กำลังเป็นอยู่กำลังกำเริบนั่นเอง
 

เลือดกำเดาไหลเกิดจากอะไร


 3 อากาศที่แห้งจนเกินไป

          อากาศที่แห้งจนเกินไปอาจทำให้เส้นเลือดฝอยในจมูกเปราะและแตกได้ นำมาซึ่งเลือดกำเดาที่ไหลแสดงตัว ซึ่งเราสามารถป้องกันได้ด้วยการเพิ่มความชื้นในอากาศ โดยในเวลานอนหลับก็ให้นำถ้วยน้ำไปวางข้าง ๆ เตียง หรือจะรับประทานผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น ส้ม ฝรั่ง มะเขือเทศ มะขามป้อม หรือสับปะรด เป็นประจำ ก็จะช่วยป้องกันเลือดกำเดาไหลได้

 4. ยาบางชนิด

          โดยเฉพาะยาลดการจับตัวของเลือด (blood-thinning) เช่น แอสไพริน หรือยาต้านการอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDS) ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของอาการเลือดกำเดาไหลได้ เนื่องจากตัวยาอาจลดประสิทธิภาพการจับตัวของเลือด ทำให้เลือดไหลออกจากร่างกายได้ง่ายขึ้น จนทำให้เกิดอาการเลือดกำเดาไหลนั่นเอง

 5. การระคายเคือง หรืออาการบาดเจ็บบริเวณเยื่อบุจมูก

          ไม่ว่าจะเป็นการแคะจมูก ขยี้จมูกแรง ๆ การสั่งน้ำมูก หรือการเปลี่ยนแปลงความกดอากาศอย่างรวดเร็ว เช่น ขณะนั่งเครื่องบินหรือดำน้ำ ลักษณะเช่นนี้อาจทำให้เกิดเลือดกำเดาไหลได้ง่ายกว่าปกติ
 

เลือดกำเดาไหลเกิดจากอะไร


 6. ผนังกั้นช่องจมูกคด โค้งงอ หรือเป็นสันแหลม

          เคสนี้อาจสังเกตได้ว่าเลือดกำเดาจะไหลแค่ข้างเดียว และมักจะเป็นที่ข้างเดิม ๆ เนื่องจากผนังกั้นช่องจมูกที่แคบนั้น จะมีลมหายใจหรืออากาศเข้า-ออก มากกว่าและเร็วกว่า ทำให้เยื่อบุจมูกแห้งกว่าอีกข้าง จนทำให้เกิดสะเก็ดและมีเลือดออกได้ง่าย

 7. เนื้องอกในจมูกหรือโพรงอากาศข้างจมูก

          เนื้องอกที่ว่าอาจเป็นได้ทั้งเนื้อร้ายและเนื้อที่ไม่ร้าย แต่ที่เลือดกำเดาไหลก็เพราะเมื่อร่างกายมีเนื้องอกขึ้นมา เลือดจะมาหล่อเลี้ยงเนื้องอกนั้น ๆ จำนวนมาก และอาจทำให้เลือดออกมาทางจมูกได้ 

          ดังนั้นหากมีเลือดกำเดาแบบเป็น ๆ หาย ๆ ปริมาณเลือดกำเดาที่ไหลมากกว่าปกติ น้ำหนักตัวลด มีก้อนที่คอ เสียงแหบนานเกิน 3 สัปดาห์ หรือรู้สึกคัดจมูกเรื้อรัง ควรรีบไปส่องกล้องเพื่อตรวจโพรงจมูกจะดีกว่า

 8. ความผิดปกติของหลอดเลือด

          เลือดกำเดาไหลอาจเกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดที่มาเลี้ยงจมูก เช่น ภาวะเส้นเลือดโป่งพองหรือเส้นเลือดแดงผิดปกติจากอุบัติเหตุที่มีการกระทบกระเทือนมาถึงโพรงจมูก เป็นต้น

          ได้ทราบกันไปแล้วว่าที่เลือดกำเดาไหลเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง คราวนี้ลองมาดูวิธีปฐมพยาบาลอาการเลือดกำเดาไหลในเบื้องต้นกันบ้างดีกว่า
 

เลือดกำเดาไหลเกิดจากอะไร


การปฐมพยาบาลผู้ป่วยมีเลือดกำเดาไหล

           1. ให้ผู้ป่วยนั่งเงยหน้าขึ้น หรือก้มหน้าลงมาก ๆ แล้วใช้มือบีบปีกจมูกทั้งสองข้าง นานประมาณ 5-10 นาที ระหว่างนั้นให้ผู้ป่วยหายใจลึก ๆ ทางปากแทน และอาจวางผ้าเย็นหรือถุงน้ำแข็งไว้บนดั้งด้วยก็ได้

           2. หลังมีเลือดกำเดาไหลภายใน 24-48 ชั่วโมงแรก ควรหลีกเลี่ยงการสั่งน้ำมูกแรง ๆ การแคะจมูก การออกแรงมาก ออกกำลังกายอย่างหักโหม หรือกิจกรรมที่อาจเกิดการกระทบกระเทือนบริเวณจมูกทุกชนิด

           3. เมื่อเลือดหยุดไหลแล้วควรนอนพัก โดยยกศีรษะให้สูง จากนั้นนำน้ำแข็งมาประคบบริเวณหน้าผากหรือลำคอ ไม่ก็อาจจะอมน้ำแข็งเพื่อให้เลือดหยุดไหลก็ได้ แต่การประคบหรืออมน้ำแข็งควรใช้เวลาเพียง 10 นาทีต่อครั้ง เว้นพัก 10 นาที จากนั้นค่อยประคบหรืออมน้ำแข็งใหม่อีกรอบ 

          4. ในกรณีที่ปฐมพยาบาลแล้วแต่เลือดยังไม่หยุดไหล ควรรีบนำตัวผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที

          ความผิดปกติของร่างกายอย่างการที่มีเลือดกำเดาไหล อาจบ่งชี้ภาวะความเจ็บป่วยของร่างกายได้หลายอย่าง ฉะนั้นเราก็ควรใส่ใจดูแลสุขภาพกันอย่าให้คลาดสายตาเลยนะคะ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อสุขอนามัยที่ดีและร่างกายที่เข็งแรง ปราศจากโรคภัยของเราเอง
      

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ราชวิทยาลัยโสต ศอ นาสิกแพทย์ แห่งประเทศไทย
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
everydayhealth