“ พืชใต้ทะเล ที่นอกจากจะช่วยรักษาระบบนิเวศของทะเลให้อุดมสมบูรณ์แล้ว ยังมีประโยชน์นานัปการในด้านของการนำมาเป็นอาหาร

                สาหร่ายทะเลทั่วโลกมีมากกว่าสองหมื่นชนิด แต่ที่นิยมนำมาบริโภคมีเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้น ซึ่งแบ่งตามสีของการสังเคราะห์แสงได้เป็น 4 กลุ่มสี คือ สาหร่ายสีแดง (Red algae) เช่น สาหร่ายพอไฟรา (Porphyra) หรือสาหร่ายโนริ ที่นำมาห่อซูชิ แถมยังเป็นชนิดเดียวกับสาหร่าย “จีฉ่าย” ที่ใส่ในแกงจืด รวมถึงสาหร่ายผมนาง (Gracilaria spp.) ที่นำมาสกัดเป็นวุ้นผง ถัดมาเป็น สาหร่ายสีน้ำตาล (Brown algae) เช่น สาหร่ายลามินาเรีย (Laminaria) หรือสาหร่ายคอมบุ และสาหร่ายอุนดาเรีย (Undaria) หรือสาหร่ายวากาเมะ ที่ใส่ในซุปญี่ปุ่น

 

 

                นอกจากนี้ยังมีสาหร่ายสีเขียว(Green algae) อย่าง สาหร่ายพวงองุ่น (Caulerpa lentillifera J. Agardh ) หรือ สาหร่ายเม็ดพริกไทยที่กำลังนิยมบริโภคในบ้านเรา สุดท้าย คือ สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน (Blue-green algae) เช่น สาหร่ายสไปลูลิน่า (Spirulina) หรือสาหร่ายเกลียวทอง ที่นำมาผลิตเป็นอาหารเสริมสุขภาพ นอกจากจะนำสาหร่ายมาปรุงอาหารโดยตรงแล้ว ยังถูกแปรรูปไปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ อย่าง เวชภัณฑ์ยา อาหารเสริม และเครื่องสำอางอีกด้วย

                ในสาหร่ายทะเลอุดมไปด้วยสารอาหารต่างๆ มากมาย แถมยังเป็นวัตถุดิบที่ช่วยบรรเทาและรักษาอาการของโรคต่างๆ ได้อีกด้วย อาทิ
- มีโปรตีนมากกว่าในเนื้อสัตว์
- มีแคลเซียมมากกว่านมถึง 14 เท่า
- มีธาตุเหล็กมากกว่าเนื้อสัตว์ 3-8 เท่า
- มีไอโอดีนมากกว่าในอาหารทะเล
- มีวิตามินเอ วิตามินบี1 บี2 บี6 บี12 วิตามินซี ไทอามีน ไรโบฟ
ลาวิน และไนอาซีนมากกว่าในผักผลไม้บางชนิด
- เป็นอาหารที่มีไขมันและพลังงานต่ำ ย่อยง่าย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการจะลดน้ำหนัก
- ช่วยรักษาโรคกระดูกพรุนและผุ
- ช่วยชำระล้างหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่นได้เป็นปกติ
- ช่วยลดคลอเลสเตอรอล ลดความดันโลหิต รักษาโรคท้องผูก
- ช่วยสมานแผลในกระเพาะอาหาร

หมายเหตุ : สำหรับผู้ป่วยโรคไต ควรรับประทานสาหร่ายทะเลแต่น้อย เพราะในสาหร่ายมีปริมาณโซเดียมสูง

 

 

 

ที่มา : women.sanook