ที่มา : เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์
http://www.thaihealth.or.th/
ข้อมูลที่น่าตกใจจากกรมควบคุมโรค ได้สะท้อนให้เห็นว่าในปัจจุบัน “วัยทำงาน” ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 38.31 ล้านคนป่วยเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับหัวใจและหลอดเลือดจำนวนมากโดยวัยทำงานเพศหญิงป่วยสูงเป็นอันดับสอง รองจากโรคมะเร็ง และวัยทำงานเพศชาย ป่วยสูงเป็นอันดับสาม รองจากอุบัติเหตุและโรคมะเร็ง
ผศ.นพ.ภาวิทย์ เพียรวิจิตร อาจารย์ประจำภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ได้ให้ข้อมูลว่า ภาวะหัวใจล้มเหลวเป็นภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ตามที่ต้องการผลกระทบของโรคความดันโลหิตสูง โรคลิ้นหัวใจผิดปกติ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด โรคเบาหวาน หัวใจเต้นผิดปกติ เป็นต้น
ทั้งนี้ผลกระทบสามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ 1.หัวใจห้องขวาล้มเหลว หัวใจห้องขวาจะรับเลือดจากร่างกายแล้วสูบฉีดไปยังปอดเพื่อฟอกเลือด หากหัวใจห้องขวาล้มเหลวจะทำให้เกิดอาการบวมของเท้า และ 2.หัวใจห้องซ้ายล้มเหลว หัวใจห้องซ้ายจะรับเลือดที่ฟอกแล้วจากปอดและจะสูบฉีดไปเลี้ยงทั่วร่างกาย เมื่อหัวใจห้องนี้ล้มเหลวจึงทำให้ร่างกายไม่สามารถสูบฉีดเลือด จนเนื้อเยื่อต่างๆ ขาดออกซิเจนเกิดการคั่งของน้ำและเกลือในปอด จนส่งผลให้เกิดภาวะน้ำท่วมปอดได้
ข้อมูลผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาตัวด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวในโรงพยาบาลรามาธิบดี พบว่ามีอัตราการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยที่ 10% ต่อปี โดยมีกลุ่มผู้ป่วยเป็นคนในวัยทำงานอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป และยังคงมีแนวโน้มที่มีอายุลดน้อยลงเรื่อยๆ เนื่องจากการละเลยการดูแลสุขภาพของตนเอง รวมถึงการบริโภคโซเดียมหรืออาหารที่มีรสชาติเค็มมากเกินไป
สอดคล้องกับรายงานจากกรมควบคุมโรคที่แสดงให้เห็นว่าคนไทยรับประทานเกลือมากถึง 10.8 กรัม/วัน และมากกว่าที่องค์การอนามัยโลกแนะนำคือ 5 กรัมเท่านั้น ทั้งนี้พบว่าผู้ป่วยวัยทำงานจำนวนมากที่มีประวัติการบริโภคโซเดียมหรืออาหารที่เค็มสูง เช่น ซีอิ๊ว น้ำปลา เต้าเจี้ยว กะปิ ปลาร้า น้ำผลไม้กระป๋อง อาหารกึ่งสำเร็จรูป ขนมที่มีการเติมผงฟูมีโซเดียม รวมไปถึง ชีส เนื้อสัตว์แปรรูปต่างๆ เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดโรคความดันโลหิตสูงมากยิ่งขึ้นจนส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาวะหัวใจล้มเหลว
สำหรับการรักษาภาวะหัวใจล้มเหลวในปัจจุบันได้มีวิวัฒนาการที่ก้าวหน้ามากขึ้น จึงส่งผลให้การรักษาประสบความสำเร็จและสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้ผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น แต่ก็ยังต้องอาศัยความร่วมมือที่ดีระหว่างทีมแพทย์และพยาบาลกับผู้ป่วยเป็นสิ่งสำคัญ