ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.thaihealth.or.th/

เรื่องโดย : รศ.นพ.สมบูรณ์ คีลาวัฒน์ ราชวิทยาลัยพยาธิแพทย์แห่งประเทศไทย

 

ในแต่ละปีมีชาวไทยเสียชีวิตจากโรคมะเร็งจำนวนมาก ครองแชมป์สาเหตุการตายอันดับหนึ่งของบ้านเรา แต่โรคมะเร็งหลายชนิดสามารถป้องกันหรือลดโอกาสเกิดได้หากเรามีความรู้และปฏิบัติตัวได้ถูกต้อง 

เรามาทำความรู้จักกับมัจจุราชที่คร่าชีวิตคนไทยเป็นอันดับสูงสุดนี้ เพื่อจะได้เข้าใจธรรมชาติของมันซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการป้องกันหรือปฏิบัติตนสำหรับ ผู้ที่กำลังเป็นโรคร้ายชนิดนี้อยู่

มะเร็งเกิดได้อย่างไร ในเนื้อเยื่อปกตินั้นจะมีการควบคุมตัวเองให้มีการเพิ่มจำนวนของเซลล์เพื่อเติบโตขยายขนาดหรือเพื่อทดแทนเซลล์ที่เสื่อมสภาพลงไปได้ อย่างพอเหมาะพอดี โรคมะเร็งเกิดจากการผ่าเหล่าของสารพันธุกรรม ส่งผล ให้ระบบการควบคุมการเพิ่มจำนวนของเซลล์เสียความสมดุลไป จึงทำให้การเพิ่มจำนวนของเซลล์เกิดขึ้นได้อย่างไม่จำกัดนำไปสู่การเป็นมะเร็งขึ้นนอกจากนี้เซลล์ที่กลายพันธุ์ เหล่านี้ยังสามารถลุกลามไปสู่อวัยวะข้างเคียงหรือแพร่กระจายออกไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกายที่อยู่ไกลออกไปได้ด้วย

การผ่าเหล่าซึ่งนำไปสู่มะเร็งนี้ อาจเกิดจากการกระตุ้นโดยปัจจัย ทางสิ่งแวดล้อมต่างๆ หลายอย่างด้วยกัน ได้แก่ บุหรี่ ทำให้เกิดมะเร็งปอด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้เกิดมะเร็งตับ เชื้อไวรัส เช่น Human papilloma virus (HPV) ซึ่งติดต่อกันได้ทางการมีเพศสัมพันธ์ ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก เชื้อไวรัสตับอักเสบบีทำให้เกิดมะเร็งตับ พยาธิใบไม้ในตับ ทำให้เกิด มะเร็งที่ท่อน้ำดี และเชื้อแบคทีเรียบางตัว เช่น เชื้อHelicobacter pylori ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคแผลในกระเพาะอาหารสัมพันธ์กับโรคมะเร็งกระเพาะ อาหาร เป็นต้น จากตัวอย่างเหล่านี้จะเห็นว่ามะเร็งมีความสัมพันธ์กับแนวการดำเนินชีวิตอยู่มากพอสมควร

มะเร็งชนิดใดพบบ่อยในคนไทย ในแต่ละปีชาวไทยเราเป็นมะเร็งกันประมาณหกหมื่นกว่าราย โดยภาพรวมทั้งประเทศจะพบว่ามะเร็งที่เกิดบ่อยที่สุดในเพศชายคือมะเร็งตับและท่อน้ำดี รองลงมาเป็นมะเร็งปอด และลำไส้ใหญ่ ส่วนในผู้หญิง มะเร็งที่พบมากที่สุดใน 3 อันดับแรก ได้แก่ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม และ มะเร็งตับและท่อน้ำดี ตามลำดับมูลเหตุที่ทำให้มะเร็งท่อน้ำดีเป็นมะเร็งที่อยู่ ในอันดับต้นๆ ของคนไทย เนื่องมาจากจำนวนผู้ป่วยในภาคอีสานมีสูงมาก เพราะการมีนิสัยชอบรับประทานอาหารดิบๆ จึงทำให้เป็นโรคพยาธิใบไม้ ในตับกัน ทั้งนี้หากไม่นำผู้ป่วยจากภาคอีสานมาคิดรวม มะเร็งปอดจะแซง ขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งของมะเร็งที่เกิดในเพศชายทันที

จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นมะเร็ง อาการของโรคมะเร็งมีได้หลายอย่าง ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เกิด ส่วนหนึ่งอาจถูกตรวจพบโดยตัวผู้ป่วยเอง หรือโดยแพทย์การวินิจฉัยโรคมะเร็ง มีได้หลายวิธี เช่น การตรวจด้วย x-ray หรือ CT scan หรือการตรวจเลือด เพื่อหาสารบ่งชี้ มะเร็ง (tumor marker) เป็นต้น ฯลฯ อย่างไรก็ตาม การตรวจ ยืนยันผลในด่านสุดท้ายก่อนเริ่มให้การรักษามะเร็งทุกชนิด คือการตัดชิ้นเนื้อจากก้อนที่สงสัยว่าเป็นเนื้อร้ายมาทำการตรวจโดยพยาธิแพทย์

ทั้งนี้ การมีก้อนในร่างกายก็อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าเป็นมะเร็ง เพราะอาจเกิดจากภาวะอื่นก็ได้ จะว่าไปแล้ว ก้อนส่วนใหญ่ในร่างกายมักจะเป็นอย่างอื่นมากกว่าเป็นมะเร็ง

มะเร็งมีความน่ากลัวมากน้อยแค่ไหน หลายคนพอรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง ก็หมดกำลังใจ ไม่อยากทำอะไรต่อ ความจริงโรคมะเร็งไม่ได้ร้ายแรงไปเสียหมด มะเร็งบางชนิดสามารถ หายหรือรักษาให้มีชีวิตอยู่ได้นานขึ้นได้ หากตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มแรก จึงควรรู้นิสัยของมะเร็งที่ตนเป็น ว่าเป็นแบบใด โดยทั่วไปแพทย์สามารถทำนายผลลัพธ์ของมะเร็งแต่ละชนิดได้ โดยดูจากสถิติในผู้ป่วยที่เป็นมะเร็ง ชนิดต่างๆ ที่มีนักวิจัยเก็บรวบรวมไว้ก่อนหน้านี้ สถิติที่ใช้มากที่สุดคือจำนวนผู้ป่วยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ที่รอดชีวิตจากโรคมะเร็งในระยะเวลาหนึ่งๆ เช่น ในระยะ 5 ปี เป็นต้น ตัวอย่างเช่น มะเร็งชนิด ก. มีอัตรารอดชีวิตเกิน 5 ปี สูงถึง 90 เปอร์เซ็นต์ หมายถึงว่าผู้ป่วย 90 ใน 100 คน ที่เป็นมะเร็งชนิดนี้ สามารถรอดตายอยู่ได้เกิน 5 ปี และมีเพียง 10 คน เท่านั้นที่ตายจาก โรคมะเร็งชนิดนี้ในเวลาไม่ถึง 5 ปี แสดงว่ามะเร็งชนิดนี้ไม่ค่อยร้ายแรง เท่าไหร่นัก

ในทางกลับกัน มะเร็งชนิด ข. มีอัตรารอดชีวิตเกิน 5 ปี เพียง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งก็หมายความว่าผู้ป่วยที่จะอยู่รอดจากมะเร็งชนิดนี้เกินระยะเวลา 5 ปีมีแค่ 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่เหลืออีก 90 เปอร์เซ็นต์ตายหมด ก่อนจะครบ 5 ปี ซึ่งแสดงว่าเป็นมะเร็งที่มีนิสัยดุร้ายกว่าชนิดแรก จะเห็นได้ว่าจากสถิติที่มีการรวบรวมไว้ในมะเร็งแต่ละชนิดทำให้แพทย์สามารถทำนายได้ว่าคนไข้จะอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่ การพยากรณ์นี้ไม่แน่ว่าจะแม่นยำเสมอไป เพราะเป็นแค่สถิติที่เก็บรวบรวมจากคนไข้ในอดีต มีหลายครั้งที่แพทย์ทำนายผลผิด เนื่องจากคนไข้แต่ละรายย่อมมีปัจจัยที่มาเกี่ยวข้องแตกต่างกันเป็นเรื่องเฉพาะของแต่ละบุคคล ผู้เขียนเคยพบผู้ป่วยบางรายที่แพทย์ทำนายว่าจะอยู่ได้ไม่นาน แต่จากข้อเท็จจริงปรากฏว่าผ่านไปหลายปีแล้ว คนไข้ยังสบายดี

มะเร็งรักษาได้อย่างไร วิธีรักษามะเร็งโดยหลักๆ ได้แก่ การผ่าตัด เพื่อจะได้เอาก้อนมะเร็งออกให้ได้มากที่สุด การฉายรังสีและการให้ยาเคมีบำบัด สองอย่างหลังนี้จะส่งผลกระทบต่อเนื้อเยื่อปกติด้วย การฉายรังสีนั้น นอกจากจะทำลายเซลล์มะเร็งแล้ว ยังพลอยกระทบถึงเนื้อเยื่อปกติข้างเคียงด้วยทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลง เป็นต้นว่าคนไข้ที่เป็นมะเร็งในช่องปากซึ่งได้รับการฉายรังสี จะพลอยส่งผลให้เกิดอาการปากแห้งไปด้วยเนื่องจากรังสีไปทำลายต่อมน้ำลายที่อยู่ข้างๆ ส่วนยาเคมีบาบัดซึ่งมีฤทธิ์ทำลายเซลล์ที่แบ่งตัวเร็วทำให้เหมาะในการนำมาใช้ฆ่าเซลล์มะเร็งซึ่งมีการแบ่งตัวเร็ว ก็อาจมีผลข้างเคียงไปทำลายเซลล์ปกติที่แบ่งตัวเร็วด้วย เช่น เซลล์ขน และเซลล์เม็ดเลือด ทำให้มีผมร่วง และติดเชื้อได้ง่าย เนื่องจากจำนวนเม็ดเลือดขาวต่ำลง ในปัจจุบัน เริ่มมีการนำวิธีรักษาแบบมุ่งเป้า (targeted therapy) มาใช้เพิ่มขึ้นอีกอย่าง กล่าวคือใช้ยาที่ออกฤทธิ์จำเพาะต่อโมเลกุลที่ผิดปกติที่สร้างจากยีนผ่าเหล่าที่ก่อให้เกิดมะเร็งชนิดนั้นๆ การรักษาด้วยวิธีนี้จะไม่เกิดผลข้างเคียงแบบเคมีบำบัดเพราะออกฤทธิ์จำเพาะต่อเซลล์มะเร็งเท่านั้น ทุกวันนี้ยาพวกนี้ยังมีราคาค่อนข้างแพง จึงยังไม่สามารถใช้ได้อย่างแพร่หลายในบ้านเรา

จะป้องกันโรคมะเร็งอย่างไร จะเห็นได้ว่ามะเร็งมีความสัมพันธ์กับการใช้ชีวิตเป็นอย่างมาก ดังนั้น การป้องกันจึงทำได้โดยการปรับวิถีชีวิตเพื่อจะได้หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้นให้ได้มากที่สุด รวมทั้ง การหมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำ เพื่อจะได้พบมะเร็งในระยะแรกๆ และรีบรักษาเสียก่อนที่มันจะเริ่มเข้าสู่ระยะลุกลาม โดยสรุป แม้ว่าโรคมะเร็งจะเป็นภัยร้ายที่น่ากลัวซึ่งคร่าชีวิตคนไทยเป็นอันดับหนึ่งในแต่ละปี แต่หากรู้เท่าทันมันก็จะช่วยให้ประชาชนทั่วไปปฏิบัติตัวได้อย่างถูกต้อง ทำให้จำนวนผู้ป่วยโรคมะเร็งในประเทศเรา ลดต่ำลง หรือกรณีที่หลีกไม่พ้น อย่างน้อยก็ได้รู้หลักปฏิบัติทำให้ตนเอง ไม่เสียชีวิตจากมันหรือมีชีวิตอยู่กับโรคมะเร็งได้นานและมีความสุขขึ้น