ปัญหาผิวในวัยรุ่นส่วนใหญ่เกิดจากสิว ไม่ว่าจะเป็นสิวเพียงเล็กน้อย หรือเป็นสิวอักเสบ ต่างก็เป็นปัญหาให้เจ้าตัวขาดความมั่นใจ ร้อยละ 80 ของช่วงเวลาวัยรุ่นต่างเคยมีประสบการณ์เป็นสิว ถ้าเป็นน้อยอาจไม่ก่อปัญหาเท่าไหร่ แต่ถ้าสิวเห่อเต็มหน้าคงทำให้เครียดไม่น้อย จริงๆ สิวในระยะแรกๆ จะเป็นสิวอุดตัน และเป็นสิวที่พบมากถึงร้อยละ 70 ซึ่งเจ้าสิวตัวนี้อาจไม่ก่อปัญหาแผลเป็นตามมา แต่ถ้าเจ้าตัวดูแลไม่ดีสิวอุดตันจะกลายเป็นสิวอักเสบและกลายเป็นแผลเป็นในที่สุด การดูแลสิวอุดตันอย่างถูกวิธีจะช่วยลดปัญหา แต่ในทางตรงข้ามถ้าการดูแลสิวผิดวิธี ยิ่งจะก่อให้เกิดปัญหามากขึ้น และจากสิวอุดตันจะกลายเป็นแผลเป็นในที่สุด แล้วเจ้าสิวอุดตันตัวก่อปัญหาเกิดจากอะไรล่ะ

สาเหตุของสิวอุดตัน

     1. กรรมพันธุ์ สภาพผิวของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนผิวแห้ง บางคนผิวมัน บางคนผิวละเอียด กรรมพันธุ์เป็นตัวหนึ่งในการกำหนดสภาพผิวและการสร้างน้ำมันหรือซีบัม (Sebum) จากต่อมไขมัน (Sebaceous gland) ผิวที่สร้างน้ำมันมากเกินไปจะทำให้ขับน้ำมันส่วนเกินออกจากรูขุมขนไม่ทันทำให้คั่งค้างเป็นก้อนน้ำมันอยู่ในนั้นและกลายเป็นสิวอุดตันในที่สุด

     2. ฮอร์โมน (Hormone) ในผู้หญิงช่วงก่อนมีรอบเดือนประมาณ 2 สัปดาห์ ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) จะกระตุ้นให้ต่อมไขมันทำงานมากขึ้น เกิดการคั่งของน้ำมันที่รูขุมขน นอกจากนี้ฮอร์โมนตัวนี้ยังทำให้เกิดการบวมของรูขุมขน น้ำมันขับออกจากผิวไม่ทันทำให้น้ำมันคั่งค้างกลายเป็นสิวอุดตันและในช่วงวัยรุ่นทั้งหญิงและชายจะมีภาวะฮอร์โมนแปรปรวน โดยเฉพาะฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgen) และฮอร์โมนจากต่อมหมวกไตบางตัว (Dehydroepiandrosterone sulfate : DHEA-S) ซึ่งฮอร์โมนพวกนี้จะออกฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของต่อมไขมันให้ทำงานมากกว่าปกติจนรูขุมขนระบายน้ำมันออกไม่ทัน จึงเกิดเป็นสิวอุดตันได้เช่นกัน

     จากสาเหตุของการเกิดสิวอุดตันทั้ง 2 ข้อดังกล่าวเมื่อเกิดมีการคั่งค้างของน้ำมันที่รูขุมขนประกอบกับการขับออกช้าหรือเป็นไปได้น้อย แบคทีเรียประจำถิ่นจะเข้าย่อยสลายน้ำมันเพื่อใช้เป็นอาหาร แบคทีเรียชนิดนี้ชื่อ P.acnes ถ้าปริมาณของแบคทีเรียน้อยจะกำจัดน้ำมันอุดตันได้น้อยจะเกิดเป็นสิวอุดตัน แต่ถ้าแบคทีเรียตัวนี้มีปริมาณมากอาจเกิดการติดเชื้อเป็นสิวอักเสบในที่สุด

ประเภทของสิวอุดตันแบ่งออกเป็น 2 ประเภท

     1. สิวหัวปิดหรือสิวหัวขาว (White head หรือ White comedone) สิวชนิดนี้ยังแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ สิวหัวปิดแบบตื้น สิวประเภทนี้จะอยู่ในชั้นผิวหนังตื้นๆ บริเวณคาง จมูก เมื่อบีบหรือกดออกจะเป็นก้อนไขมันสีขาวพุ่งออกมา ส่วนอีกประเภทจะเห็นรอยนูนชัดเจนกว่าแต่รากสิวอยู่ในชั้นที่ลึกกว่า สิวอุดตันประเภทนี้ไม่ควรบีบหรือกดเพราะจะกำจัดได้ไม่ถึงรากสิว ทำให้ผิวหน้าช้ำ แดง และอักเสบจนเกิดแผลเป็นได้

     สิวหัวขาวทั้งสองประเภทเกิดมาจากสาเหตุเดียวกัน คือ การแต่งหน้าหนา และล้างเครื่องสำอางออกไม่หมดทำให้สิ่งสกปรก และไขมันที่คั่งค้างไปอุดตันรูขุมขน ทำให้น้ำมันระบายออกไม่ได้ ประกอบกับฮอร์โมนแอนโดรเจน และโปรเจสเตอโรนที่กระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันเพิ่มมากขึ้นในวัยรุ่น หรือช่วงก่อนมีรอบเดือนที่มีการผลิตน้ำมันใต้ผิวหนังปริมาณเพิ่มขึ้น ผิวบวมน้ำ รูขุมขนแคบ ทำให้ระบายน้ำมันออกมาไม่ได้จึงเกิดเป็นน้ำมันคั่งค้าง ซึ่งเป็นสาเหตุของสิวอุดตันนั่นเอง

     2. สิวหัวเปิดหรือสิวหัวดำ (Black head หรือ Black comedone) สิวชนิดนี้จะมองเห็นเป็นจุดดำๆ บริเวณจมูก คาง แยกเป็น 2 ประเภทเช่นกัน แต่ทั้งสองประเภทเกิดจากสาเหตุเดียวกันนั่นคือ น้ำมันทำปฏิกิริยากับอากาศหรือที่เรียกว่าปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Oxidation) เกิดเป็นจุดสีดำที่รูขุมขน ประเภทแรกแม้จะเห็นเป็นจุดสีดำแต่เมื่อลูบผิวบริเวณนั้นแล้วจะเรียบไม่สะดุด บางครั้งเรียกว่าสิวเสี้ยน (Trichostasis Spinulosa : TS) เมื่อบีบหรือกดออกจะได้เส้นไขมันหรือเส้นขนอ่อนเล็กๆ สีดำออกมา แต่มักไม่หายขาดเป็นๆ หายๆ และเกิดรอยแดงช้ำ เกิดรอยแผลเป็นได้ง่าย อีกประเภทเมื่อลูบแล้วสะดุดเป็นก้อนๆสิวประเภทนี้กดออกง่าย และไม่ทิ้งรอยแดงช้ำ หรือรอยแผลเป็น

     ถ้ามองผิวเผินสิวอุดตันไม่น่าจะเกิดปัญหาเพราะบางประเภทแทบมองไม่เห็น แต่เราต้องไม่ลืมว่าเจ้าสิวอุดตันนี่สามารถพัฒนาเป็นสิวอักเสบ สิวหัวหนอง ทิ้งรอยแผลเป็นไว้บนใบหน้าได้ การป้องกันการเกิดสิวอุดตันจึงเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นที่ควรทำมากกว่า

     1. ทำความสะอาดใบหน้าให้สะอาด สำหรับผู้หญิงถ้าแต่งหน้ายิ่งต้องล้างทำความสะอาดให้หมดจรด เพื่อไม่ให้เครื่องสำอางอุดตันรูขุมขน แต่ต้องไม่ล้างหน้าบ่อยเกินไป เพราะการล้างหน้าบ่อยเกินไปจะทำให้ผิวแห้งเมื่อผิวหน้ายิ่งแห้งต่อมไขมันยิ่งเพิ่มการผลิตน้ำมันออกมาทดแทนควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับผิวหน้าชนิดไม่ก่อสิว

 

ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับผิวหน้าชนิดไม่ก่อสิว

 

     2. ผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับผิวหน้าควรมีส่วนผสมของน้ำให้มาก (Water-based) และมีส่วนผสมน้ำมันน้อย หรือไม่มีเลย (Oil free) และถ้าเป็นชนิดไม่ก่อสิว (Non-comedogence) จะยิ่งดีควรพักผ่อนให้เป็นเวลา ไม่อดนอน

ควรพักผ่อนให้เป็นเวลา ไม่อดนอน

 

     3. การพักผ่อนเป็นเวลา ไม่อดนอน ยังไม่มีการวิจัยว่าการนอนไม่เป็นเวลามีผลทำให้สิวเพิ่มขึ้น แต่มีการวิจัยพบว่าการนอนไม่เป็นเวลาเพิ่มความแปรปรวนให้ฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งฮอร์โมนนี้มีผลกับต่อมไขมันใต้ผิวหนังให้เพิ่มการผลิตน้ำ มันควรดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว

ควรดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว

 

     4. การดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว ลดอาหารที่มีไขมันสูง เพราะน้ำจะเป็นตัวพาสิ่งสกปรกออกจากร่างกายและช่วยลดอาการท้องผูก แต่น้ำมันที่มากเกินไปร่างกายต้องขับออก ส่งผลให้ต่อมไขมันต้องเร่งขับน้ำมันส่วนเกินด้วยเช่นกันควรดูแลเรื่องการขับถ่าย ไม่ให้มีอาการท้องผูก

ควรดูแลเรื่องการขับถ่าย ไม่ให้มีอาการท้องผูก

 

     5. ดูแลเรื่องการขับถ่าย ป้องกันไม่ให้มีอาการท้องผูก มีการวิจัยพบว่าอาการท้องผูกมีความสัมพันธ์กับระดับคอเลสเตอรอล (Cholesterol) ในกระแสเลือดที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งคอเลสเตอรอลนี้ส่งผลกับฮอร์โมนแอนโดรเจนที่เป็นตัวเพิ่มการสร้างน้ำมัน ก่อให้เกิดสิวอุดตันบนใบหน้า

วิธีการดูแลก่อนจะมีสิวอุดตันและการรักษาเมื่อเป็นสิวอุดตัน

     จริงๆแล้วการดูแลผิวหน้าเพื่อป้องกันสิวอุดตันเป็นเรื่องที่ควรทำมากกว่าเมื่อเป็นสิวแล้วรักษา เพราะสิวอุดตันที่อยู่ในชั้นผิวหนังลึกๆ อาจทำให้เกิดรอยแผลเป็น ซึ่งการรักษาต้องใช้เวลานานและค่าใช้จ่ายที่แพงกว่า สูตรที่เอามาแนะนำนี้มีทั้งสูตรการป้องกันและการดูแลเมื่อเกิดสิวอุดตัน

วัตถุดิบของสูตรรักษาสิวอุดตันด้วยไข่ขาว

วัตถุดิบของสูตรรักษาสิวอุดตันด้วยไข่ขาว

     1. สูตรที่ตกทอดมาแต่โบราณ คิดว่าไม่มีใครไม่รู้จักสูตรไข่ขาวพอกหน้าลดสิวเสี้ยน สิวอุดตัน วิธีง่ายๆ คือ ใช้ไข่สดแยกเอาเฉพาะไข่ขาวเอามาพอกหน้าทิ้งไว้ 10 – 15 นาที แล้วล้างออก หรืออาจใช้ไข่ขาวชุบสำลีสะอาดแผ่นบางๆ มาพอกที่หน้าทิ้งไว้ 10 -15 นาที แล้วลอกออก ก่อนไปล้างหน้า วิธีนี้สามารถทำได้บ่อยๆ ช่วงแรกอาจทำต่อเนื่องทุกวันเป็นเวลา 1 สัปดาห์ แล้วค่อยๆ พอกหน้าห่างออกไป แต่ช่วงแรกอาจมีสิวเห่อขึ้นมา เพราะไข่ขาวไปบีบรัดรูขุมขนทำให้สิวคั่งค้างอยู่ค่อยๆ หลุดออกมาพร้อมกัน

วัตถุดิบของสูตรรักษาสิวอุดตันด้วยมะนาว และมะเขือเทศ

วัตถุดิบของสูตรรักษาสิวอุดตันด้วยมะนาว และมะเขือเทศ

     2. สูตรการใช้กรดผลไม้พอกหน้า คือ มะนาว และมะเขือเทศ ในกลุ่มของน้ำมะนาวที่มี AHA (Alpha Hydroxy Acids) และมะเขือเทศที่มีสารไลโคปีน (Lycopene) แคโรทีน (Carotene) วิตามินซี (Vitamin C) สามารถนำน้ำมะนาว หรือมะเขือเทศสดมาพอกหน้าทิ้งไว้ 10 -15 นาที แล้วล้างออก หรือใครที่ผิวแพ้ง่าย ควรผสมน้ำมะเขือเทศและน้ำมะนาวเล็กน้อย เพื่อลดการระคายเคือง พอกไว้ 10 –15 นาที แล้วล้างออกเช่นกัน กรดผลไม้เหล่านี้จะช่วยให้สิวอุดตันอ่อนตัวและหลุดออกมาได้ง่าย อีกทั้งวิตามินซียังช่วยลดรอยดำคล้ำ แต่สูตรนี้อาจมีการระคายเคืองผิวหนัง แดง เป็นขุยได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย

วัตถุดิบของสูตรรักษาสิวอุดตันด้วยมะขามเปียกและนมสด

วัตถุดิบของสูตรรักษาสิวอุดตันด้วยมะขามเปียกและนมสด

     3. สูตรพอกหน้ามะขามเปียก-นมสด วิธีใช้โดยนำเนื้อมะขามเปียกผสมนมสดคนให้เข้ากันเป็นเนื้อข้น พอกหน้าทิ้งไว้ 5-10 นาที กรดผลไม้ (AHA) ในมะขามเปียกจะทำให้รูขุมขนอ่อนตัวเมื่อล้างหน้าสิวอุดตันจะหลุดออกง่าย ส่วนนมสดจะช่วยลดการระคายเคืองของผิว ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นไม่แห้งจนเกินไป เพราะถ้าผิวแห้งต่อมไขมันใต้ผิวจะผลิตน้ำมันเพิ่มอาจทำให้เกิดสิวคั่งค้างเช่นเดิม

วัตถุดิบของสูตรรักษาสิวอุดตันด้วยข้าวโอ๊ตและโยเกิร์ต

วัตถุดิบของสูตรรักษาสิวอุดตันด้วยข้าวโอ๊ตและโยเกิร์ต

     4. สูตรข้าวโอ๊ต–โยเกิร์ต โดยใช้ข้าวโอ๊ตบดละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับโยเกิร์ตสูตรธรรมชาติ 1 ช้อนโต๊ะ นำมาพอกหน้าไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออก สูตรข้าวโอ๊ตจะช่วยให้ผิวหน้านุ่ม เพิ่มความยืดหยุ่นทำให้สิวอุดตันอ่อนตัวบีบหรือกดออกได้ง่าย ส่วนโยเกิร์ตมี AHA และกรดแลคติก (Lactic acid) ที่ช่วยในเรื่องการผลัดผิวทำให้สิวอุดตันชั้นลึกลงไปค่อยๆ ตื้นขึ้นมาอย่างอ่อนโยน สูตรนี้ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง สามารถพอกหน้าได้ทุกวันเหมาะกับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย

การรักษาสิวอุดตันด้วยการทำ Treatment

การรักษาสิวอุดตันด้วยการทำ Treatment

     5. การรักษาสิวอุดตันด้วยการทำ Treatment วิธีนี้จะทำในคลินิกความงามรักษาสิว ส่วนใหญ่ในขั้นแรกนิยมใช้กรดผลไม้ไม่ว่าจะเป็น AHA หรือ BHA เป็นตัวช่วยผลัดผิวทำให้สิวอุดตันตื้นขึ้นมาก่อนจะบีบหรือกดสิวออก บางสูตรอาจตามด้วยครีมทาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย บางสูตรอาจตามด้วยกรดผลไม้ แต่ทั้งนี้การทำ Treatment ไม่ควรทำบ่อย เพราะจะทำให้เกิดการระคายเคือง ในบางคนอาจทำให้สิวเห่อมากกว่าเดิม

การรักษาสิวอุดตันด้วยการกดสิว

การรักษาสิวอุดตันด้วยการกดสิว

     6. การรักษาสิวอุดตันด้วยการกดสิว กรณีนี้จะได้ผลดีกับสิวอุดตันแบบลูบแล้วไม่เรียบ สัมผัสได้เป็นก้อน สิวชนิดนี้จะอยู่บริเวณผิวหนังชั้นตื้น ลักษณะสิวอ่อนตัวทำให้กดหรือบีบหัวสิวออกง่าย แต่การกดสิวไม่เหมาะกับสิวอุดตันแบบหัวปิดฝังตัวลึก เพราะถ้ากดสิวไม่ออก จากสิวอุดตันจะกลายเป็นสิวอักเสบและกลายเป็นรอยสิว แต่วิธีนี้อุปกรณ์ที่ใช้ในการกดสิวต้องสะอาดจริงไม่เช่นนั้นจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดสิวอักเสบ

     7. การรักษาสิวอุดตันด้วยการทาครีม เป็นวิธีหนึ่งที่นิยมมาก เพราะสะดวกโดยไม่ต้องไปทำที่คลินิกความงาม ครีมทาสิวอุดตันยังแยกออกเป็นหลายประเภท เพราะมีส่วนประกอบที่ต่างกัน

การรักษาสิวอุดตันด้วยการทาครีม

การรักษาสิวอุดตันด้วยการทาครีม

          7.1 ครีมทาสิวในกลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ หรือเรตินอยด์ (Retinoid) ครีมกลุ่มนี้เมื่อทาไปบริเวณที่เป็นสิวจะลดการขับน้ำมันจากผิว และลดไขมันอุดตันทำให้ลดสิวอุดตันไปด้วย แต่การรักษาใช้เวลาพอสมควรกว่าจะเห็นผล นอกจากนี้ยังมีอาการข้างเคียงคือทำให้เกิดการระคายเคืองง่าย ระยะแรกอาจทำให้เป็นขุยลอก

          7.2 ครีมในกลุ่ม Differin หรือ Adapalene 0.1% เป็นกลุ่มที่ใกล้เคียงกับครีมทาในกลุ่มเรตินอยด์แต่ออกฤทธิ์อ่อนโยนกว่า เพราะผิวบางคนจะมีอาการแพ้มากเมื่อทาครีมกลุ่มเรตินอยด์ แต่เมื่อใช้ครีมกลุ่ม Differin อาการแพ้ลดลง ครีมชนิดนี้ออกฤทธิ์ลดการขับน้ำมัน ลดการคั่งค้างของน้ำมันที่รูขุมขน จึงทำให้สิวอุดตันลดลงด้วย

          7.3 ครีมทาหรือเจลในกลุ่ม Benzoyl Peroxide หรือ BP หรือ Benzac ครีมกลุ่มนี้สามารถซื้อที่ร้านขายยาได้โดยไม่ต้องมีใบสั่งยาจากแพทย์ ถ้าใช้ครีมที่มีส่วนผสมขนาดต่ำ คุณสมบัติของครีมช่วยลด P.acnes และลดการสร้างไขมันส่วนเกินที่รูขุมขน ทำให้ลดการคั่งค้างของไขมัน ลดการเป็นสิวอุดตัน ครีมตัวนี้แม้จะซื้อใช้เองโดยไม่ต้องมีใบสั่งยาแต่ก็ก่อการระคายเคืองได้พอสมควร โดยปกติครีมตัวนี้จะแนะนำ ให้ทาบริเวณที่เกิดสิว 5-10 นาที แล้วล้างออก ถ้าทาทิ้งไว้ 2-3 นาที แล้วมีอาการแสบคันควรรีบล้างออกทันที

          7.4 ครีมหรือเจลทาในกลุ่ม AHA/ BHA ครีมในกลุ่มนี้สกัดมาจากกรดผลไม้ ที่มีสาร Salicylic acid ที่สามารถซึมเข้าไปละลายไขมันอุดตันที่คั่งค้างในรูขุมขนให้อ่อนตัวสามารถบีบหรือกดออกได้ง่าย ครีมในกลุ่มกรดผลไม้อาจก่อการระคายเคือง ผิวแดง แสบได้

     8. การรักษาสิวอุดตันด้วยยารักษาสิว

การรักษาสิวอุดตันด้วยยารักษาสิว

การรักษาสิวอุดตันด้วยยารักษาสิว

     8.1 Isotretinoin เป็นยาในกลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ หรือที่รู้จักกันในชื่อ Acnotin ใช้รับประทานเพื่อยับยั้งการขับน้ำมันที่มากเกินไป ยับยั้งการเติบโตของแบคทีเรีย P.acnes ยาตัวนี้ขับออกทางตับจึงอาจทำให้เกิดภาวะตับอักเสบ ห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์ เพราะจะทำให้ทารกในครรภ์พิการ เป็นยาที่ต้องสั่งโดยแพทย์เท่านั้น

     8.2 การใช้ฮอร์โมน เพื่อปรับสมดุลฮอร์โมนลดการเกิดสิว หรือการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดนั่นเอง โดยเลือกใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดที่ต้านฮอร์โมนเพศชาย (Anti-androgen) ผลข้างเคียง คือ ทำให้น้ำหนักขึ้น บวมน้ำ ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบนี้อาจใช้ได้ผลดีเฉพาะบางคน

การรักษาสิวอุดตันด้วยวิธีการกรอผิวหน้าด้วยเกร็ดอัญมณี

การรักษาสิวอุดตันด้วยวิธีการกรอผิวหน้าด้วยเกร็ดอัญมณี

     9. การรักษาสิวอุดตันด้วยวิธีการกรอผิวหน้าด้วยเกร็ดอัญมณี (Microdermabrasion) เป็นการใช้เกร็ดอลูมิเนียมออกไซด์ (Aluminium Oxide) บริสุทธิ์ หรือผลึกคริสตัลที่มีขนาดเล็กมากประมาณ 100 ไมครอน (Micron) ที่ผ่านกรรมวิธีทำลายเชื้อโรค เอามาพ่นลงที่ผิวหนังกำพร้าในปริมาณน้อย ทำให้ผิวหนังกำพร้าส่วนบนหลุดลอกออก ทำให้ผิวผลัดเซลล์ใหม่ได้เร็วขึ้น สิวอุดตันในส่วนลึกจะถูกดันออกให้ตื้นทำให้บีบหรือกดออกได้ง่าย สามารถกรอผิวหน้าด้วยเกร็ดอัญมณีสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง และต้องหลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างน้อย 1 สัปดาห์ วิธีนี้ต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีราคาค่อนข้างแพง

     10. การรักษาสิวอุดตันด้วยการทำเลเซอร์ วิธีนี้เหมาะกับสิวอุดตันที่อยู่ลึกลงไปในชั้นผิวหนังกดออกยาก สิวประเภทนี้จะเป็นอยู่นาน ก่อความรำคาญแต่ไม่สามารถกดออกได้ เพราะจะทำให้เกิดสิวอักเสบหรือเกิดรอยแผลเป็นภายหลัง การใช้เลเซอร์เป็นการใช้พลังงานคลื่นแสงส่งเข้าไปทำลายเซลล์เป้าหมายโดยตรงจึงมีผลกระทบกับเซลล์ข้างเคียงน้อย

     ถึงแม้สิวอุดตันจะเป็นปัญหาในวัยรุ่นมากถึงร้อยละ 70 แต่ไม่ได้หมายความว่าสิวอุดตันจะต้องกลายเป็นสิวอักเสบและทิ้งรอยแผลเป็นให้เสมอไป และแม้ว่าเราจะดูแลผิวหน้าเราอย่างดีเพียงใดแต่ในบางคนก็ยังเกิดสิวอุดตันขึ้นมาได้ การดูแลจึงควรดูแลผิวหน้าอย่างใจเย็น ไม่แกะ แคะ บีบ หรือกดสิวโดยไม่จำเป็น ถ้าเราดูแลตัวเองอย่างดีแล้วแต่ก็ยังเกิดสิวอุดตันขึ้นมา ถ้าเป็นไม่มากก็ควรผ่อนคลาย ไม่เครียด เพราะสิวพวกนี้จะหายไปได้เองเมื่ออายุมากขึ้น แต่ถ้าเป็นสิวอุดตันเยอะมากจนเสียภาพลักษณ์ก็ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อที่จะได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับเราที่สุด

ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.pikool.com/