ดื่มกาแฟถูกวิธีก็มีสุขภาพดีได้ เผย4 ข้อสงสัย ‘ประโยชน์และโทษของกาแฟ’

 

 

Q : การดื่มกาแฟช่วยเพิ่มพลังและความสดชื่นให้เราได้จริงหรือไม่?

A  : กาแฟช่วยให้ผู้ดื่มหลายคนรู้สึกไม่เหนื่อยล้าและสดชื่นมากขึ้น อันเนื่องมาจากสารคาเฟอีนนั่นเอง เมื่อสารคาเฟอีนเข้าสู่กระแสเลือดและสมองในขนาดที่เหมาะสม จะออกฤทธิ์ในการกระตุ้นเซลล์ประสาทให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น  ทั้งในด้านความจำ อารมณ์ และการเรียนรู้สิ่งต่างๆ นอกจากนี้ มีบางงานวิจัยพบว่า การดื่มกาแฟในขนาดที่เหมาะสมก่อนออกกำลังกาย จะช่วยให้ออกกำลังกายได้ดีและนานขึ้นถึงร้อยละ 11-12 เลยทีเดียว

 

Q : เราดื่มกาแฟได้มากเท่าไหร่ มีอันตรายต่อสุขภาพหรือไม่?      

A  : ยังไม่มีข้อกำหนดหรือข้อห้ามใดๆ สำหรับปริมาณกาแฟที่ควรดื่มสำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับหญิงตั้งครรภ์นั้นควรจำกัดปริมาณคาเฟอีนไม่ให้เกิน 200 มิลลิกรัมต่อวัน เพราะมีรายงานว่ามีการแท้งมากกว่าหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่ดื่ม นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าลูกที่เกิดมีน้ำหนักแรกคลอดน้อยและตัวเล็กกว่าอายุครรภ์อีกด้วย  สารคาเฟอีนมีฤทธิ์คล้ายยาขับปัสสาวะ จึงอาจทำให้ผู้ดื่มกาแฟปัสสาวะมากขึ้นและเร็วขึ้น อีกทั้งมีรายงานว่าในผู้ที่ดื่มกาแฟมากๆ บางครั้งอาจเกิดอาการหน้ามืด เป็นลม มือสั่น และนอนไม่หลับได้ หากเกิดอาการเช่นนี้บ่อยๆ ควรหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ นอกจากนี้ กาแฟมักได้รับการปรุงแต่งอย่างหลากหลาย อาจมีการเติมน้ำตาล น้ำเชื่อม นม และอื่นๆ ซึ่งอาจมีผลในการเพิ่มแคลอรี่ส่วนเกินให้ผู้ดื่มได้มาก ผู้ดื่มที่มีโรคประจำตัวที่อาจได้รับผลกระทบควรคำนึงถึงเรื่องนี้ไว้ด้วยเช่นกัน เพียงเท่านี้ คอกาแฟก็สามารถกำหนดปริมาณการดื่มในแต่ละวันได้ง่ายๆ ควบคู่ไปกับการมีสุขภาพดีได้แล้ว

 

 

Q : การดื่มกาแฟลดความอ้วนได้หรือไม่? 

A  : มีงานวิจัยพบว่า สารคาเฟอีนในกาแฟนั้นสามารถเพิ่มอัตราการเผาผลาญสารเคมีในร่างกายได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งหมายความว่ากาแฟนั้นน่าจะสามารถช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกายได้  จึงอาจนำไปสู่การใช้การดื่มกาแฟในการลดความอ้วนได้ แต่ทั้งนี้ยังต้องรอผลสรุปจากงานวิจัยอื่นๆ เพิ่มเติม

 

Q : การดื่มกาแฟลดการเกิดโรคเบาหวานได้จริงหรือไม่?

A  : มีงานวิจัยพบว่า การดื่มกาแฟทำให้มีโอกาสการเกิดโรคเบาหวานลดลง โดยพบว่าคนที่ดื่มกาแฟ 6-7 ถ้วยต่อวัน พบโรคเบาหวานน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ดื่ม โดยเชื่อว่าสารต้านอนุมูลอิสระในกาแฟ เป็นตัวทำให้การดื้ออินซูลินลดลง ทำให้ไม่ค่อยพบโรคเบาหวาน และสารต้านอนุมูลอิสระนั้นคือ phenolic chlorogenic acid

 

ขอบคุณที่มาจาก : GOODLIFE