การพูดเป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องทำ มันมีความซับซ้อนกว่าการเขียนนิดหน่อย ทั้งในด้านของน้ำเสียง สายตา ท่าทาง และหัวเรื่องที่พูด เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะเรียนรู้ว่าคุณควรพูดยังไง หรือไม่ควรพูดเรื่องอะไร ที่จะทำให้ภาพลักษณ์ ความน่าเคารพ และทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณมี พังทลายได้ในพริบตา
วันนี้ อโนฯ เลยนำ 7 นิสัยการพูดแย่ๆ ที่จะทำใหัชีวิต และภาพลักษณ์ของคุณพังทลายได้ในเวลาไม่นาน ที่จูเลียน เทรเชอร์ นักธุรกิจด้านงาน “เสียง” กล่าวไว้บนเวที TED มาฝากกันค่ะ
การซุบซิบนินทา นอกจากจะทำให้คุณไม่น่าคบแล้ว ยังทำให้อาจโดนนินทาได้อีกด้วย
1. ซุบซิบนินทา
การซุบซิบนินทา พูดจาถึงคนอื่นในแง่ร้ายนั้นเป็นเหมือนพฤติกรรมลูกโซ่ค่ะ เพราะเมื่อไหร่ที่คุณเริ่มซุบซิบนินทาชาวบ้านแล้ว มันก็จะเป็นเหมือนเชื้อไฟ ที่พร้อมจะกลับมาเผาผลาญตัวคุณเองจนมอดไหม้ มันจะเป็นจุดเริ่มต้นของการทำให้คนอื่นหันมานินทาตัวคุณเองได้อย่างง่ายดายเลยล่ะ! ไอ้การปล่อยข่าวว่าคนนู้นแย่ คนนี้ไม่ดี หาว่าใครเค้าติดยา น่ะ หยุดซะเถอะ! ก่อนที่มันจะวกกลับมาหาตัวคุณเอง แล้วทำให้ภาพลักษณ์ของคุณเละไม่เหลือชิ้นดี!
2. เป็นจอมตัดสินชาวบ้าน
ถ้าในการสนทนานั้น คุณได้ทำการตัดสินคนอื่นไปแล้วว่าเขาผิด และคิดว่าตัวเองถูก อีโก้สูงปรี๊ดๆ นั่นแหละ คือปัญหาของคุณแล้ว เพราะหลังจากนั้น คู่สนทนาของคุณก็มีโอกาศที่จะปิดตัวเองจากคุณ จนถึงอาจเลิกเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคุณโดยสมบูรณ์ เพราะมันเปล่าประโยชน์ที่จะคุยกับคนที่ไม่รับฟังคนอื่นค่ะ ผลลัพธ์ที่ได้คือ คุณอาจต้องใช้เวลาในการคุยกับคนที่นั่งทำหน้ามึนใส่ พูดอะไรไป คนอื่นก็เงียบ ไม่ตอบรับหรือปฎิเสธ เพราะจริงๆ โลกนี้ไม่ได้มีแค่สีดำและสีขาว แต่มีสีอื่นๆ อีกเยอะแยะ การพยายามตีมึนว่าโลกนี้ไม่มีสีอื่นอยู่เลยน่ะ ไม่ได้หรอกนะ สุดท้ายแล้วคุณนั่นแหละที่จะเป็นฝ่ายเสีย!
เป็นการยากที่จะคุยกับคนที่มองโลกและพูดแต่เรื่องร้ายๆ ตลอดเวลา
3. คำพูดติดลบ
การเป็นคนเนกาทีฟ – มองโลกในแง่ร้ายนั้นไม่ใช่เรื่องดี ยิ่งการพูดจาในแง่ร้าย ไม่ว่าคุณจะยิ้มหรือยังไง แต่วาจาร้ายๆ ก็ยังเป็นสิ่งไม่น่าฟัง โลกใบนี้ไม่มีใครอยากจะคุยกับคนที่คำพูดคำจาติดลบหรอกใช่มั้ยคะ? ไอ้แบบว่า เวลาที่มีเราพูดว่า “เฮ้ พรุ่งนี้วันศุกร์!” แล้วคู่สนทนาดันตอบกลับมาว่า “แล้วไง? คิดว่าวันศุกร์แล้วจะสบายเหรอ?” หรืออะไรแบบนี้น่ะ ถ้าสนิทกันก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าไม่สนิทล่ะก็…ไม่อยากจะคิดดดด เลิกซะเดี๋ยวนี้เลย!
4. บ่นไปทั่ว ติเตียนเสียทุกอย่าง
การตำหนิติเตียนนั้น มันคือการแสดงออกถึงความมองโลกในแง่ร้ายในวิธีหนึ่ง และจะกลายเป็นนิสัยที่ติดตัวคุณ ก่อนที่คุณจะรู้ตัวเสียอีกค่ะ พอรู้สึกตัวอีกที คนอื่นๆ ก็คงไม่อยากจะคุยกับคุณกันแล้ว ในฐานะของคนที่ “สามารถตำหนิได้ทุกเรื่อง ตั้งแต่ดิน ฟ้า อากาศ รถติด คนเยอะ ข่าวสาร การทำงาน และทุกสิ่งอย่าง” ซึ่งไม่น่าคบสุดๆ เลยใช่มั้ยล่ะ? ขนาดคุณยังไม่อยากคบคนแบบนั้นเลยนี่นา แล้วใครจะอยากคบถ้าคุณทำตัวแบบนั้นล่ะ? ถึงตอนนั้น คุณอาจไม่เหลือความดีในสายตาคนอื่นแล้วก็ได้
จอมโบ้ยความผิด กับ จอมแถ คือสองนิสัยที่ชวนให้หลีกออกห่างอย่างสุดๆ
5. โยนความผิดตลอดเวลา
คนบางคนนั้นเป็น “นักโยนความผิด” ตัวฉกาจ ไม่ว่าจะทำอะไร เขาจะต้องมีข้อแก้ตัวอยู่เสมอ อะไรที่อาจกระเทือนถึงเขา เขาก็ต้องรีบหาข้ออ้างที่จะบอกว่าเป็นเพราะคนอื่นๆ เขาสามารถโยนความผิดใส่ใครก็ได้ที่บังเอิญอยู่แถวๆ นั้นยกเว้นตัวเขาเองนั่นแหละ คนประเภทนี้มักไม่ได้รับการยอมรับในระยะยาวค่ะ และที่ยิ่งไปกว่านั้น คนอื่นๆ จะหมดความเคารพนับถือในตัวคนแบบนี้อีกด้วย เพราะมันแสดงถึงการปัดความรับผิดชอบได้เป็นอย่างดีเลยล่ะ ภาพลักษณ์ของคุณจะกลายเป็นพวกจอมแถแก้ตัว ที่ไม่น่าเคารพไปโดยปริยาย
6. ขี้โม้ไว้ก่อน
“การเสริมแต่ง พูดจาเกินจริง จริงๆ แล้วบางทีมันลดคุณค่าของภาษาของเรา” จูเลียน เทรเชอร์ ได้กล่าวไว้เช่นนี้ ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างเช่น ถ้าคุณเจออะไรที่มันเจ๋งมากๆ แล้วคุณเอาไปพูดจนเกินจริง สิ่งนั้นจะกลายเป็นการโกหกทันที แล้วยิ่งเว่อร์วังอลังการเท่าไหร่ มันก็ยิ่งต้องโกหกมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีใครอยากฟังคนที่รู้ๆ กันอยู่แล้วว่าไม่เคยพูดเรื่องจริงหรอกเนอะ
“คนอื่นผิดตลอด ฉันถูกเสมอ” คนเหล่านี้มักรู้สึกแบบนี้ จนบางทีก็แยกไม่ออก ว่าคนอื่นกำลังแนะนำ หรือกำลังโจมตี
7. ความดันทุรังสูง
เคยเจอไหมคะ? คนที่ดื้อรั้นเห็นว่าตัวเองถูก จนแยกแยะไม่ออก ว่าอะไรคือความเห็น อะไรคือความจริง คนเหล่านี้นับเป็นบุคคลที่น่าเห็นใจค่ะ พวกเขาแยกแยะไม่ออกว่าคนอื่นแค่กำลังเสนอความเห็น หรือกำลังโจมตีคุณอยู่ สิ่งสุดท้ายที่จะเกิดขึ้นกับคนจำพวกนี้ มักลงเองด้วยการสร้างศัตรูเต็มไปหมด เพราะฉะนั้นท้ายสุดแล้วจะไม่เหลือแม้แต่ภาพลักษณ์เลยล่ะค่ะ แต่จะเหลือแค่คนที่พร้อมจะทำลายคุณเท่านั้นเอง